ไบรอัน เฮนเดอร์สัน เล่าว่าลูกชายของเขาเคยพูดคำหนึ่งไว้ตอนนั่งชมแมตช์ชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ระหว่าง เอซี มิลาน กับ ยูเวนตุส เมื่อปี 2003 ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด
"พ่อครับ, สักวันผมจะต้องไปลงเล่นเกมแบบนี้ให้ได้" เด็กน้อยวัย 10 ขวบ กล่าวคำนั้นโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เอ่ยออกไปมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ไหม หรือเป็นแค่ความฝันที่เด็กๆ ต่างก็มีความปรารถนาไม่ต่างกัน
16 ปีผ่านไป ไบรอัน มีโอกาสเข้าชมเกมนัดชิงฯ รายการนั้น ถึงสองปีติดต่อกัน ซึ่งครั้งล่าสุด ถือเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจเอามากๆ เพราะคนที่ชูถ้วยคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลูกชายของเขาเอง
ไบรอัน เฮนเดอร์สัน เป็นตำรวจเกษียณอายุราชการเคยเป็นนักฟุตบอลของ ดูร์แฮม ทีมฟุตบอลในกรมตำรวจ ภรรยาของเขาคือ ลิซ มีอาชีพเป็นครูสอนฟิตเนสระดับมืออาชีพ
จอร์แดน เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวนี้ มีน้องสาวหนึ่งคนชื่อ โจดี้ ชีวิตในวัยเด็กเติบโตที่เมืองซันเดอร์แลนด์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะอังกฤษ
ไบรอัน รักฟุตบอลมากและโชคดีที่ลูกชายก็รักฟุตบอลเหมือนกัน เขาส่ง จอร์แดน เข้าเป็นเด็กในสังกัด ซันเดอร์แลนด์ ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยตอนแรกเริ่มต้นเล่นเป็นกองหน้าควบคู่กับปีกขวา ก่อนจะถอยลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางและเล่นตำแหน่งนี้มาตลอดทั้งอาชีพการเล่น
ทักษะของ เฮนเดอร์สัน ถือว่าโดดเด่นเหนือเด็กอังกฤษคนอื่นๆ เคยมีคลิปหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเดาะบอลที่เรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆ รอบข้าง
ตอนอยู่ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปีของ ซันเดอร์แลนด์ เขาเป็นหนึ่งในขุนพลทีม ยู-18 คว้าแชมป์ลีกสองสมัยติด ฝีเท้าพัฒนาจนถูกเรียกติดทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 18 ปี และถูกปล่อยไปเก็บประสบการณ์ระยะสั้นๆ ที่ โคเวนทรี 6 เดือน ตอนมกราคม 2009 จากนั้นก็กลับมาเป็นตัวหลักของ ซันเดอร์แลนด์ ในวัยไม่ถึง 20 ปี
ชีวิตของ เฮนเดอร์สัน เรียบง่าย เหมือนเด็กปกติทั่วไป ไม่มีข่าวหวือหวา เป็นเด็กดี ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และมีรักเดียวคือ รีเบ็คก้า เบอร์เน็ตต์
อย่างไรก็ตาม ซัมเมอร์ปี 2011 เฮนเดอร์สัน ถูกจับตามองมากขึ้นหลัง เคนนี่ ดัลกลิช ดึงเขามาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยเม็ดเงินถึง 20 ล้านปอนด์ เงินจำนวนนี้ถือว่าสูงมากกับนักเตะที่อายุแค่ 21 ปี และช่วงแรกกับชีวิตที่บ้านหลังใหม่ เฮนเดอร์สัน ต้องแบกความกดดันเรื่องค่าตัวบนบ่าทั้งสองรวมถึงการมาของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมหงส์แดงตอนนั้น ก็เกือบทำให้เขาต้องย้ายออกจากทีมก่อนเวลาอันควร
นั่นคือจุดเริ่มต้นความยากลำบากและอุปสรรคบนเส้นทางนักเตะอาชีพของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
ซัมเมอร์ปี 2012 ร็อดเจอร์ส อยากได้ คลินท์ เดมพ์ซี่ย์ ของ ฟูแล่ม เอามากๆ ถึงขั้นยอมส่ง เฮนเดอร์สัน ไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน จะว่าไปมันก็โหดร้ายกับเขาเหมือนกัน กับการที่กำลังจะถูกแลกกับผู้เล่นวัยใกล้ 30 แถมยังเพิ่งอยู่กับทีมได้แค่ปีเดียว
ความทรงจำสีเทาเกิดขึ้นตอนช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี ที่โรงแรม โฮป สตรีท ใจกลางเมืองลิเวอร์พูล
ก่อนเกมยูโรปา ลีก รอบเพลย์ ออฟ ที่จะพบกับ ฮาร์ทส ร็อดเจอร์ส เดินเข้ามาพร้อมคำพูดหนึ่งประโยคที่ติดอยู่ในใจของ เฮนเดอร์สัน "เบรนแดน โทรหาผมแล้วพูดว่า -ฟังนะ, นี่คือข้อเสนอ(แลกกับ เดมพ์ซี่ย์)- เขาถามว่าผมคิดยังไงกับดีลนี้"
สิ้นเสียงของเจ้านาย เฮนเดอร์สัน หลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ มันเป็นความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงเขากำลังจะลงแข่งในคืนนั้น
"ผมไปคุยกับเอเยนต์ และบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ผมบอกไปว่าผมไม่อยากจะย้ายออกเลย ผมต้องการอยู่และสู้ต่อ จะพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้จัดการทีมคิดผิด"
จากนั้น เฮนเดอร์สัน โทรหาพ่อเพื่อระบายความรู้สึก และย้ำความต้องการของตัวเองว่าจะอยู่เพื่อสู้ต่อ ฝ่ายคุณพ่อ ไบรอัน ฟังแล้วก็เสียใจไม่แพ้กัน ซึ่งท่านก็ไม่ขัดอะไรและพร้อมหนุนหลังตามความต้องการของลูกชาย
จากจุดที่ เฮนโด้ ยืนอยู่ตอนนั้น เขารู้ตัวดีว่าโอกาสลงสนามมีไม่มาก สิ่งเดียวที่จะทำได้คือทำงานหนักเข้าไว้ เฮนเดอร์สัน มีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจ ร็อดเจอร์ส ในหัวของเขาไม่เคยมีคำว่า 'ย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล' เลย
เฮนเดอร์สัน เป็นคนที่พร้อมปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เขาเดินไปถาม ร็อดเจอร์ส ตรงๆ เลยว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เป็นตัวจริง
ยังดีที่โชคยังเข้าข้างบ้าง เมื่อ ร็อดเจอร์ส พร้อมให้โอกาสและไม่ได้บังคับให้ เฮนเดอร์สัน ต้องออกจากทีม ร็อดเจอร์ส เปิดคลิปให้ เฮนเดอร์สัน ดู แล้วอธิบายข้อผิดพลาดของ เฮนเดอร์สัน ว่ามีอะไรบ้าง จากนั้นก็ถามกลับว่า อยากจะแก้ไขมันไหมล่ะ?
จากเดิม เฮนเดอร์สัน เป็นคนที่ขยันทำงานหนักอยู่แล้ว ถึงตอนนี้ความขยันนั้นมันเพิ่มจากเดิมเป็น 10 เท่าจนส่งกระทบถึงชีวิตคู่
"รีเบ็คก้า ภรรยา พูดว่าในช่วงสองสามปีนั้น ผมไม่ได้เป็นหัวหน้าครอบครัวที่น่ารักเท่าไหร่" เฮนเดอร์สัน กล่าวถึงความรู้สึกของภรรยาในช่วงเวลาที่เขาต้องต่อสู้เป็นส่วนหนึ่งกับทีม
สาเหตุที่ รีเบ็คเก้า กล่าวแบบนั้นก็เพราะสามีของเธอเอาแต่ขยันฝึกซ้อม ใช้เวลาอยู่แต่ในยิม พอกลับถึงบ้านก็เข้านอนทันทีจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว
"ตอนที่คุณยังเด็ก เรื่องต่างๆ มันอาจส่งผลกระทบต่อคุณ ฟุตบอลคือชีวิตของผม ตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ฟุตบอลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของผม ไม่ว่ารอบข้างมันจะเป็นยังไงหรือเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็อยากทำอย่างนั้น เมื่อหลายอย่างมันไม่เป็นไปด้วยดี มันก็น่าเจ็บปวด มันส่งผลถึงผมในตอนที่ผมกลับไปถึงบ้าน มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ผมก็รู้สึกว่าผมเติบโตขึ้นเยอะ"
ในที่สุด เฮนเดอร์สัน ก็ชนะใจ ร็อดเจอร์ส เขายึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างสง่าผ่าเผย ความก้าวหน้าทางอาชีพกำลังเติบโต ผลงานของทีมก็กำลังไปได้ดี ทว่าตอนฤดูใบไม้ร่วง ปี 2013 ซึ่งเป็นซีซั่นที่ ลิเวอร์พูล ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แมนฯ ซิตี้ ไบรอัน พ่อของเขาถูกตรวจพบว่ามีเชื้อมะเร็งตรงคอ หลังแพทย์เจอตอนที่เขาเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ แต่ ไบรอัน ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับลูกชาย เพราะเห็นว่าช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากขืนบอกไปก็กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อจิตใจจนลามไปถึงผลงานในสนาม
ช่วงต้นปี 2014 เฮนเดอร์สัน ทราบเรื่องนี้ก่อนวันที่พ่อจะเข้ารับการบำบัดไม่กี่วัน ตอนนั้นเขารู้ตัวเลยว่านอกจากฟุตบอลแล้วอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด มันเป็นช่วงเวลาที่โหดร้าย เขาทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่เกิดขึ้นมันยากจะเข้าใจ
เฮนโด้ ไม่ค่อยได้เจอกับพ่อมากนัก หลังเข้ารับการบำบัดครั้งแรก ร็อดเจอร์ส อนุญาตให้กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อได้ตามที่ต้องการ แต่ ไบรอัน สั่งไม่ให้ลูกชายมาหาเพราะเขาไม่ต้องการให้ จอร์แดน เห็นความเจ็บปวดตอนรักษาและไม่อยากให้ลูกชายมีภาพติดตาที่ไม่ดีกลับไป
"ผมไม่ได้เจอกับพ่อมากเท่าไหร่เลย ท่านไม่อยากให้ผมไป เบรนแดน เขาดีมากๆ เขาบอกว่าให้ผมกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ได้ที่ผมอยากเจอพ่อ ดังนั้น ผมเจอท่านครั้งเดียวก่อนที่ท่านจะเข้าบำบัด จากนั้นผมก็เจอท่านอีกครั้งในอีกสองสามสัปดาห์ต่อมา และมันก็ไม่ได้แย่อะไรเลยนะ แต่ในที่สุดก็ถึงจุดที่พ่อไม่อยากเจอผม ซึ่งทั้งหมดก็เพราะว่าสภาพที่ท่านเป็นตอนนั้น"
สิ่งเดียวที่ เฮนเดอร์สัน ทำได้คือพยายามเล่นให้ดีที่สุดในทุกๆ เกมการแข่งขัน และมันก็เป็นแบบที่เขาตั้งใจเพราะ ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะติดต่อกันได้หลายต่อหลายนัด
"พ่อไม่อยากให้ผมเห็นท่านในสภาพแบบนั้น ดังนั้นผมเลยรู้ว่าสถานการณ์มันแย่มากๆ ผมพูดคุยกับพ่ออยู่เป็นประจำนะ แต่สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือพยายามเล่นให้ดีในช่วงสุดสัปดาห์ และมันก็โชคดีที่ตอนนั้นเราเริ่มเก็บชัยชนะได้ในทุกสัปดาห์"
ปี 2015 สตีเว่น เจอร์ราร์ด อำลาทีม ปลอกแขนกัปตันตกเป็นของ เฮนเดอร์สัน แต่ก็ไม่แคล้วตัวเขาโดนวิจารณ์ว่ามีคุณสมบัติไม่เหมาะที่จะสืบทอดตำแหน่งนี้จากกัปตันคนก่อน
อย่างไรก็ตาม กัปตันเฮนโด้ ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักต่อไป เขาถือคติว่า อะไรที่ไม่ดีที่เขาโดนต่อว่ามันคือแรงกระตุ้นที่จะทำให้ตัวเองเก่งขึ้น
"ผมไม่ชอบอ่านอะไรที่มันเป็นเรื่องดีๆ เกี่ยวกับตัวผมเลย กับพวกคำวิจารณ์และเรื่องลบ ผมมักคิดเสมอว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมเก่งขึ้น จริงอยู่ว่าคุณต้องการคำชมสักนิดอยู่เสมอ แต่สำหรับผมแล้วคำชมที่สำคัญมันต้องมาจากผู้จัดการทีม นั่นคือคำชมที่จะทำให้ผมรู้สึกดี ดังนั้นถ้าผู้จัดการทีมบอกกับผมว่าผมทำหน้าที่ได้เหมาะสมมันก็ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม ซึ่งผมจะพยายามไม่สนใจคำชมของคนอื่นๆ เลยนะ นอกจากผู้จัดการทีม"
ตุลาคม ปี 2015 ลิเวอร์พูล เปลี่ยนมือจาก ร็อดเจอร์ส มาเป็น เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ เฮนเดอร์สัน ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพราะ คล็อปป์ มองเห็นสิ่งที่เขาทุ่มเทอยู่เสมอ
"ผมยังอายุน้อยในระดับหนึ่งจนทำให้สามารถก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียวได้, ทำงานอย่างหนักต่อไปได้, ทำบางอย่างเพิ่มเติมได้ และพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดผิดได้ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าผมมาทำอย่างนั้นได้ในตอนที่ เบรนแดน ออกจากทีมไปแล้ว ในโลกฟุตบอลและในชีวิตของคนเราน่ะ มันจะมีช่วงเวลาที่สามารถเป็นตัวตัดสินเส้นทางและอนาคตของคุณได้อยู่เสมอ"
ความคิดของ เฮนเดอร์สัน ที่ถูกปลูกฝังมาจากครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก คือของขวัญล้ำค่าที่ทำให้เขาเติบใหญ่และเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้ ส่วนหนึ่งคงมาจากความเป็นตำรวจของพ่อที่มักเห็นเรื่องส่วนรวมมาก่อนเรื่องตนเองเสมอ
เฮนเดอร์สัน ทำได้ดีในการแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ สิ่งนี้มันฝังลึกเข้าไปในสายเลือด ไม่ว่าเรื่องในหรือนอกสนามเขายินดีที่จะทำงานที่คนอื่นไม่อยากทำ เขาเกลียดการเน้นทำเรื่องส่วนตัวเป็นหลัก สำหรับ เฮนเดอร์สัน สิ่งที่สำคัญคือ การช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมเพื่อให้เพื่อนๆ เล่นได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาต้องการให้บรรดาเพื่อนร่วมทีมได้มีชื่อเสียง ต่อให้ตัวเองจะไม่ได้สัมผัสกับสิ่งนั้นก็ตาม
หน้าที่ของ เฮนเดอร์สัน ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในสนาม เขาทำทุกอย่างเพื่อทีม คำว่าทีมคือสิ่งสำคัญที่สุด เขาพยายามทำให้ในห้องแต่งตัวมีบรรยากาศที่ดี พยายามทำให้ทุกคนทำงานเพื่อกันและกัน ส่วนนอกสนามเขาก็จะทำให้เพื่อนๆ มีความสามัคคี เป็นกลุ่มเป็นก้อนสนิทกันชนิดเป็นเพื่อนตายได้ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากสิ่งที่เขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นั่นคือนิสัยของ เฮนเดอร์สัน
พ่อกับแม่ของ เฮนเดอร์สัน เป็นคนสอนเรื่องหน้าที่, ความเสียสละ, การรับใช้ และความรับผิดชอบต่อผู้อื่น ท่านพูดเสมอว่า ไม่ว่ายังไงก็ตาม ไม่ว่าจะต้องแข่งกับใคร ขอให้รู้ไว้ว่าทุกครั้งมันจะมีคนที่คอยเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา "คุณแม่ของผมท่านมักจะชอบพูดว่า -ไม่ว่าลูกจะเจอกับใคร มันก็จะมีคนที่คอยเฝ้าดูลูกอยู่ตลอด ลูกต้องเล่นให้ดีทุกนัดนะ- ซึ่งผมก็พยายามทำอย่างนั้นมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก"
ฉะนั้นอะไรที่ เฮนโด้ จะตอบแทนได้ เขาก็พร้อมจะทำ
"ผมจะเป็นหนี้บุญคุณทั้งสองท่านไปตลอดชีวิต และผมก็พยายามที่จะทำให้พวกท่านรู้สึกภูมิใจในทุกๆ ครั้งที่ผมได้ลงเล่น"
"คุณต้องพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทุกวัน คุณสามารถเอาหลักความคิดแบบนั้นมาใช้กับทุกอย่างในชีวิตได้เลย คุณต้องพยายามทำให้ตัวเองดีขึ้นในทุกๆ วัน คุณจะทำพลาดได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่าคุณจะเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นได้ยังไง ผมพยายามที่จะเป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อทีมนี้ และเพื่อครอบครัวของผม"
ไม่นานหลังจากที่ คล็อปป์ เข้ามารับงานคุมทีม ลิเวอร์พูล เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่า เฮนเดอร์สัน กำลังแบกรับภาระเอาไว้มากแค่ไหน และเขาก็พยายามที่จะช่วยแบ่งเบาภาระนั้นด้วยการกระจายความรับผิดชอบไปให้คนอื่นๆ บ้าง แต่อาการป่วยของคุณพ่อเป็นสิ่งที่ทำให้ เฮนเดอร์สัน กลุ้มมากที่สุดเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ
ตลอด 4 ปีที่ ไบรอัน เข้ารับการรักษา เฮนเดอร์สัน แทบไม่ได้เจอพ่อเลย ไบรอัน ไม่อยากให้ลูกชายคิดมาก อยากให้มีสมาธิกับอาชีพนักฟุตบอล
จนสุดท้าย ไบรอัน หายขาดจากโรคร้ายนี้และพร้อมจะเข้าชมนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2018 ที่ ลิเวอร์พูล เจอกับ เรอัล มาดริด เขาเดินทางไปที่ เคียฟ เพื่อดู จอร์แดน ลงเล่น แม้มันคือเกมที่ลูกชายทำตามคำพูดได้จริง แต่ผลการแข่งขันมันไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง
มันเป็นเกมนัดชิงฯ ครั้งที่ 4 ที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ปราศจากถ้วยแชมป์
เอฟเอ คัพ ปี 2012 จอร์แดน ลงเป็นตัวจริงแต่ ลิเวอร์พูล แพ้ เชลซี 1-2
คาร์ลิ่ง คัพ ปี 2016 เป็นกัปตัน พ่ายจุดโทษ แมนฯ ซิตี้
ยูโรปา ลีก ปีเดียวกัน นั่งเป็นตัวสำรอง และแพ้ต่อ เซบีย่า 1-3
และปี 2018 นำเพื่อนร่วมทีมลงสู่สนาม สวมปลอกแขนกัปตันทีม แต่ก็พลาดท่าต่อ เรอัล มาดริด 1-3
อย่างไรก็ตาม คำว่า"ท้อ"ไม่เคยมีอยู่ในตัว จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
ปี 2019 เฮนโด้ ก้าวสู่นัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง และคราวนี้ ลูกชายของ ไบรอัน ทำสำเร็จ จอร์แดน ขึ้นชูถ้วยแชมป์ต่อหน้าพ่อของเขาที่เข้ามานั่งชมในสนาม กัปตันทีมลิเวอร์พูล เดินเข้ามาสวมกอดพ่อที่เดินลงมารออยู่ข้างสนาม
รอยยิ้มจาก เดอะ ค็อป หลายล้านคนทั่วโลก คงไม่เทียบเท่ากับร้อยยิ้มของ พ่อ เพียงคนเดียว ที่ทำให้ เฮนโด้ มีความสุข
"พ่อของผม ผ่านอะไรมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ตัวเองแต่ยังรวมถึงครอบครัว"
"ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องภูมิใจที่เห็นเราชนะในเกมนี้ และได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก สิ่งนี้มันคือโลกทั้งใบของท่านเลยล่ะ ผมดีใจสุดๆ ที่ผมนำรอยยิ้มกลับมาบนใบหน้าท่านได้อีกครั้ง"
...
ชีวิตของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ผ่านอะไรมาเยอะแยะ กว่าเขาจะเป็นที่ยอมรับจากแฟนบอล มันก็ต้องใช้ความพยายามสูงมากที่จะก้าวข้ามจุดนั้น
ในวันที่เขาท้อ ทั้ง ไบรอัน และ ลิซ ก็เสียใจที่เห็นลูกชายเจอกับอะไรที่ไม่ดีถาโถมเข้ามา แต่สิ่งที่ทั้งสองจะทำได้คือมอบความคิดดีๆ ให้กำลังใจ สนับสนุนให้ลูกเดินหน้าต่อไป
ส่วนใครที่ท้อแท้ คิดว่าตัวเองไม่ดี ไม่สามารถทำอะไรให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ เรียนไม่เก่ง เกรดไม่สูง ไม่มีเกียรตินิยม ไม่มีใบปริญญาหรูๆ ไม่มีเงินเดือนสูงๆ ให้ท่านเชยชม
เชื่อเถอะครับว่า สิ่งเดียวที่ท่านจะภูมิใจในตัวคุณ คือการเห็นคุณเป็นคนดี เชื่อฟังคำสอนของท่าน และที่สำคัญหากเห็นลูกตัวเองมีความสุข มีหรือที่พวกเขาจะไม่มีความสุขตามไปด้วย
คำสอนจากพ่อแม่ ก็เป็นเหมือนน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ความคิด จนเกิดเป็นทัศนคติที่ดีในการดำรงชีวิต
สุขสันต์วันพ่อครับ