ผลงานของ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้ต้องบอกว่าสุดยอดเกินบรรยายจริงๆ โดยเกมล่าสุดในการทำศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ถล่ม เอฟเวอร์ตัน 5-2 ที่สนามแอนฟิลด์ เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้พวกเขายังคงรั้งจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่น พร้อมสถิติชนะ 14 แมตช์ เสมอ 1 เกม และสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นในฤดูกาลนี้
ก่อนเกมจะเปิดฉากแน่นอนว่าแฟนบอลลิเวอร์พูล คงใจหายใจคว่ำผสมกับงงนิดๆ ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจใช้ระบบโรเตชั่นด้วยการดร็อปนักเตะสำคัญในแนวรุก แต่กลายเป็นว่าผู้เล่นสำรองที่ได้รับโอกาส สามารถระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอดโดยเฉพาะ ดิว็อค โอริกี้ และ เซอร์ดาน ชากีรี่
ในส่วนของเกมรับทั้ง เดยัน ลอฟเรน กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังคงเล่นไม่ค่อยเข้าขากันมากนัก และทั้งสองคนก็มีส่วนที่ทำให้ "หงส์แดง" เสีย 2 ประตู แต่ที่น่าตื่นเต้นอีกประเด็นก็คือ ลอฟเรน เพราะในเกมนี้เขามีชื่อเป็นคนแอสซิสต์ประตูที่สามซะด้วย ถือว่าเป็นมิติใหม่แห่งการเล่นของ ดาวเตะเลือดโครแอต จริงๆ
1. โรเตชั่นคล็อปป์ ได้ผล
ก่อนเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ สาวก "เดอะ ค็อป" เห็นรายชื่อ 11 ตัวจริงถึงกับใจเสีย เพราะไม่เข้าใจเหตุผลที่ คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนทีมเยอะมาก โดยเฉพาะแนวรุกที่ดร็อป โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน
ด้วยเหตุผลที่ "เดอะ เร้ดส์" ทำแบบนี้เพราะโปรแกรมที่แน่นเอี๊ยดในเดือนธันวาคม เพราะทีมต้องเล่นทั้งเกมพรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, คาราบาว คัพ และ คลับ เวิล์ด คัพ นั่นทำให้ คล็อปป์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ระบบการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นในแมตช์นี้
อย่างไรก็ตามการโรเตชั่นของ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ประสบความสำเร็จ โดยเลือกใช้ เซอร์ดาน ชากีรี่ เป็นจอมทัพคู่กับ อดัม ลัลลาน่า คอยเชื่อมเกมกับ ซาดิโอ มาเน่ กับ ดิว็อค โอริกี้ ซึ่งพวกเขาเล่นกันได้อย่างเข้าขา โดยเฉพาะในครึ่งแรกที่ปั่นป่วนเกมรับ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" จนเปื่อยยุ่ย
สำหรับตอนนี้แฟนบอล "หงส์แดง" คงเริ่มเห็นแผนสำรองของคล็อปป์ ในยามที่ต้องโรเตชั่นนักเตะ โดยเฉพาะในแผนกองหน้าสามารถเปลี่ยน 3 ผู้เล่นจาก "ฟีร์มีโน่, โม ซาลาห์ และ มาเน่" มาเป็น "มาเน่, โอริกี้ และ ชากีรี่" ก็ยังคงทำให้ประสิทธิภาพในเกมรุกของทีมไม่ลดลงเลย
2. โอริกี้โชว์ของ
หลายคนมักจะแซว โอริกี้ ว่าเวลาได้รับโอกาสจาก คล็อปป์ ให้ลงเล่นตัวจริง มักจะทำผลงานไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ แต่หาก ดาวยิงชาวเบลเยียม ถูกส่งลงมาเล่นเป็นตัวสำรอง มักจะสวมบทซูเปอร์ซับ สร้างความแตกต่างให้กับ "เดอะ เร้ดส์" ได้ตลอด
สำหรับในฤดูกาลนี้ โอริกี้ ยิงแค่ประตูเดียวในเกมลีกจากการลงสนาม 290 นาที (ตลอด 11 เกม) ก่อนที่จะลงสนามเป็นตัวจริงในค่ำคืนวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดย หัวหอกจอมลีลา ไม่ทำให้ นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช ต้องผิดหวังเมื่อเขาสวมบทฮีโร่ซัด 2 ประตูในเกมนี้
เรื่องยิงประตูถือว่ายอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่เรื่องการวิ่งหาพื้นที่ของ โอริกี้ ถือว่าสุดยอดมากๆ ในจังหวะที่ยิงประตูแรก โดยเจ้าตัวสามารถเอาชนะ ไมเคิ่ล คีน,เมสัน โฮลเกต และ เยร์รี่ มิน่า ไม่สามารถจัดการกับการเคลื่อนที่หาช่องว่างของ "บิ๊กกี้" ได้เลย โดยเขาแสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วในการวิ่งฉีกขึ้นมาจากด้านหลัง
ขณะที่ประตูที่สอง กองหน้าดีกรีทีมชาติเบลเยียม ทำให้แฟนบอลทั่วโลกได้เห็นถึงทักษะการจับบอลที่นิ่มราวกับปุยนุ่ม ก่อนจะใจเย็นกระดกข้ามหัว จอร์แดน พิคฟอร์ด เข้าไปซุกก้นตาข่าย งานนี้ต้องบอกว่า โอริกี้ ทำให้หลายคนที่ปรามาสเขาว่าเป็นแค่แข้งซูเปอร์ซับ ต้องคิดใหม่ทำใหม่
3. แนวรับ ลิเวอร์พูล ยังต้องแก้ไข
"หงส์แดง" ยังคงต้องรอคอยคำว่า "คลีนชีต" ต่อไปในฤดูกาลนี้ โดยพวกเขาไม่เสียประตูแค่สองแมตช์ในเกมที่พบกับ เบิร์นลี่ย์ (สิงหาคม) และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (กันยายน) นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้หลายคนเพ่งเล็งว่ากองหลังของทีมค่อนข้างมีปัญหา
ในกรณีที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ไม่ได้ลงเฝ้าเสา ก็คงไม่ใช่ประเด็น เพราะตอนที่เจ้าตัวลงสนามก็เสียประตูอยู่ดี ขณะที่หลายคนมองว่าการที่ทีมขาด โฌแอล มาติป เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ทีมมีหลุมขนาดใหญ่ในเกมรับ เพราะ เดยัน ลอฟเรน ยังเล่นไม่เพอร์เฟกต์เมื่อจับคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์
สองประตูที่เสียไป ลอฟเรน มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น โดยลูกแรกสกัดบอลพลาดก่อน ไมเคิ่ล คีน จัดการลงโทษเต็มข้อ ส่วนลูกที่สอง ดาวเตะชาวโครแอต กับ ฟาน ไดค์ ยื่นห่างระหว่างกลาง ริชาร์ลิซอน ทำให้ ดาวเตะชาวบราซิเลียน จัดการสังหารประตูไปแบบง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม ลอฟเรน ยังพอได้รับคำชมอยู่บ้าง โดยเฉพาะในจังหวะที่โยนบอลยาวจากแผงหลังให้ โอริกี้ หลุดเดี่ยวเข้าไปซัดประตูนำห่าง 3-1 ขณะที่ในครึ่งหลัง คล็อปป์ คงจัดการติ้วเข้มทั้ง ลอฟเรน กับ ฟาน ไดค์ ทำให้ทั้งสองคนสามารถทำผลงานได้ดีขึ้น แต่ก็ยังมีจังหวะหลุดๆ ให้เสียวอยู่บ้าง
4. มาเน่หล่อมาก
ตอนนี้หากแฟนบอล "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล คิดถึงนักเตะคนไหนที่สุด แน่นอนว่าชื่อของ ซาดิโอ มาน่ คงกระเด้งขึ้นมาทันที เพราะฤดูกาลนี้ ดาวเตะชาวเซเนกัล โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด และโดดเด่นอย่างมาก จนทีมขาดนักเตะรายนี้ไม่ได้เลย
การที่ คล็อปป์ เลือกพัก ฟีร์มีโน่ กับ ซาลาห์ แต่ตัดสินใจใช้งาน มาเน่ นั่นแสดงให้เห็นว่านักเตะรายนี้มีความสำคัญกับทีมมากๆ และน่าจะเป็นผู้เล่นที่สามารถจัดการเกมรับของ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ซึ่งช่วงที่ผ่านมาต้องบอกเลยว่าอ่อนยวบจนน่าเป็นห่วง
ความเร็ว และวิสัยทัศน์ของ อดีตดาวเตะ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ โดดเด่นสุดๆ ทั้งในจังหวะที่ได้ประตูแรก มาเน่ โชว์กึ๋นในการจ่ายบอลให้ โอริกี้ ซัดประตู เช่นเดียวกับประตูที่สองที่ผ่านบอลคิลเลอร์พาสให้ ชากีรี่ ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย
ขณะที่ประตูที่สาม มาเน่ โชว์ทักษะในการหลอกนักเตะเอฟเวอร์ตันในฝั่งของทีมตัวเอง ก่อนส่งบอลให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กระชากบอลไปถึงกรอบเขตโทษคู่แข่ง จากนั้นก็ส่งให้ มาเน่ ที่วิ่งประครองมาซัดบอลเข้าประตูอย่างงดงาม
จริงๆ แล้วในเกมนี้ มาเน่ มีลุ้นที่จะบวกประตูเพิ่มอีก 2 ครั้งในช่วงท้ายเกม แต่น่าเสียดายที่ไม่เข้าประตู ไม่งั้นเกมนี้ สตาร์ลูกหนังทีมชาติเซเนกัล อาจจะทำแฮตทริก พร้อมกับ 2 แอสซิสต์ แต่ถึงจะยิงได้แค่ 1 ประตู แต่ฟันธงได้เลยว่าสาวก "เดอะ ค็อป" ยกให้ มาเน่ เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ พันเปอร์เซ็นต์
5. ซิลวา ยังได้โอกาสอีกไหม ?
ผลการแข่งขันในเกมนี้อาจจะรักษางานของ มาร์โก ซิลวา ได้หากเขาสามารถนำ เอฟเวอร์ตัน สู้กับ "หงส์แดง" ได้อย่างสูสีจนได้แต้มสำคัญ หรือหากจะแพ้ก็ต้องแพ้อย่างมีสไตล์ แต่ในแมตช์นี้แม้ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" จะเล่นฟัดกับ "หงส์แดง" ได้อย่างเมามัน กระนั้นสกอร์ที่แพ้ถึง 5-2 คงทำให้บอร์ดบริหารต้องคิดหนักกันแล้ว
ก่อนเกมดาร์บี้แมตช์แห่งลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ เอฟเวอร์ตัน สถานการณ์น่าเป็นห่วงเหลือเกิน ที่สำคัญพวกเขาแพ้สองเกมติดและสุ่มเสี่ยงที่จะหล่นไปอยู่ในโซนตกชั้น หากการมาเยือนถิ่นแอนฟิลด์ ทีมไม่สามารถคว้า 3 คะแนนได้ และนั่นหมายถึงชะตาชีวิตในอาชีพของ ซิลวา อาจจะสิ้นสุดก็เป็นได้
หลังจบแมตช์นี้ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" แพ้เรียบวุธในเกมลีก 3 แมตช์ติดต่อกัน แถมยังพ่ายให้คู่อริร่วมเมืองด้วยสกอร์ค่อนข้างมาก อาจจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายของ บอร์ดบริหาร และสาวก "เอฟเวอร์โตเนี่ยม" ที่จะทนเห็น กุนซือชาวโปรตุกีส นั่งกุมบังเหียนในฤดูกาลนี้
ยิ่งไปกว่านั้นการเห็นตารางลีกในปัจจุบัน เอฟเวอร์ตัน หล่นไปอยู่ในอันดับ 18 ซึ่งเป็นโซนตกชั้น พร้อมกับเก็บได้เพียง 11 คะแนน และเสียประตูถึง 32 ลูก สวนทางกับเม็ดเงินที่สโมสรทุ่มไปในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้มีความเป็นได้ที่ผู้บริหารอาจจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงด่วน ไม่งั้นอาจจะสายเกินแก้ไข