นรกเบื้องบนทรงเป็นพยาน !!!
ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะครับว่าแชมป์ยุโรป 6 สมัยผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล จะยังไม่เคยสัมผัสเกียรติประวัติระดับแชมป์สโมสรโลกเลยสักครั้งเดียว
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า...
พลพรรคหงส์แดงคว้าแชมป์ยุโรป (ยูโรเปี้ยน คัพ) ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อ 1977
ยุคโน้นการชิงแชมป์สโมสรโลกระหว่างแชมป์ยุโรปกับแชมป์อเมริกาใต้ถูกกำหนดให้เล่นกันแบบเหย้าและเยือน 2 นัด
แล้วแชมป์ทางฝั่งอเมริกาใต้ในปีนั้นก็คือ โบคา จูเนียร์ส แห่ง อาร์เจนติน่า
ปัญหาคือในยุคโน้น สโมสรจาก อาร์เจนติน่า มีกิตติศัพท์เรื่องความดิบเถื่อน
สิ่งที่เกิดขึ้นในศึกชิงแชมป์สโมสรโลกในปี 1967 คือหลักฐานยืนยันอย่างหนักแน่น เมื่อ ราซิ่ง คลับ แห่ง อาร์เจนติน่า กับเซลติก แห่ง สกอตแลนด์ ต้องเซิ้งกันแบบมาราธอนถึง 3 นัด
นัดแรกที่ แฮมป์เดน พาร์ค สนามฟุตบอลแห่งชาติของ สกอตแลนด์ - เซลติก พลาดท่าพ่ายแพ้แบบคาบ้าน ด้วยสกอร์ 0-1
นัดที่ 2 ทีมม้าลายเขียว-ขาว แก้ตัวได้สำเร็จด้วยการบุกเชือด ราซิ่ง ถึงถิ่น 2-1 ส่งผลให้ประตูรวมเสมอกัน 2-2 โดยไม่มีกฏยิงประตูทีมเยือน
เมื่อสกอร์รวมเสมอกันจึงต้องมีการเตะเพลย์ออฟกันใหม่อีกครั้งที่สนามเป็นกลาง ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ค่อยจะเป็นกลางสักเท่าไหร่ เพราะดันจัดขึ้นที่ มอนเตวิเดโอ ในประเทศอุรุกวัย ซึ่งราซิ่ง คลับ เอาชนะ เซลติก 1-0 ในเกมที่อุดมด้วยความเดือดดาลมีผู้เล่นถูกไล่ออกจากสนามถึง 5 คน โดยเป็นผู้เล่นเป็นของ อาร์เจนติน่า 3 คน และสกอตแลนด์อีก 2 คน
.
.
.
ถัดมาอีก 1 ปี แชมป์ยุโรปอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องปะทะกับ เอสตูเดียนเตส จาก อาร์เจนติน่า แล้วลูกทีมของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ก็ถูกนักเตะจากอาร์เจนติน่าไล่เตะและไล่หวดจนสะบักสะบอม ก่อนพ่ายแพ้ไปด้วยประตูรวม 2-1
นอกจากความตลาดล่างของทีมจากฝั่งอเมริกาใต้แล้ว อุปสรรคอีกย่างคือต้องเดินทางข้ามทวีปที่นำมาซึ่งความเหนื่อยล้าและเสียเวลา
แชมป์ยุโรป 1977 อย่าง ลิเวอร์พูล จึงตัดสินใจไม่ทำศึกนี้กับ โบคา จูเนียร์ส - สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ "ยูฟ่า" เลยต้องส่ง "รองแชมป์" อย่าง โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ไปเป็นตัวแทนทวีป แถมทีมสิงห์หนุ่มจากเยอรมันสามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จซะด้วย
ปี 1978 ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปได้อีก 1 สมัย ขณะที่แชมป์ อเมริกาใต้ ก็ยังเป็นทีมหน้าเดิมอย่าง โบคา จูเนียร์ส นี่แหละ
แล้วก็เหมือนเดิมครับ คือ ลิเวอร์พูล ขอสละสิทธิ์ไม่ไปเตะ "ยูฟ่า" จึงต้องส่งรองแชมป์ยุโรปอย่าง คลับ บรูซ ไปแทน ทว่าคราวนี้ทีมจาก อาร์เจนติน่า ก็ไม่อยากเตะด้วยเหมือนกัน เท่ากับว่าปีนั้นก็ไม่มีการแข่งขันจนต้องเว้นวรรคไป 1 ปี
ถัดมาอีก 1 ปี แชมป์ยุโรปอย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ก็ขอถอนตัวบ้าง โดยยอมยกสิทธิ์ให้รองแชมป์อย่าง มัลโม จาก สวีเดนไปเล่นกับ โอลิมเปีย ของปารากวัยแทน
กระทั่งปี 1980 จึงมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่จากที่ต้องเล่นกันแบบเหย้า-เยือนมาเป็นการแข่งกันแบบนัดเดียวรู้ผลไปเลย โดยบริษัทยนต์กรรมยักษ์ใหญ่แห่งเมืองอาทิตย์อุทัยอย่างโตโยต้า รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันขึ้นที่กรุงโตเกียว
บันทึกว่าศึกชิงแชมป์สโมสรโลกในชื่อ "โตโยต้า คัพ" ครั้งแรกที่ ญี่ปุ่น นาซิอองนาล ของ อุรุกวัย คว้าแชมป์หลังจากเอาชนะ น๊อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ด้วยสกอร์ 1-0
ปี 1981 ถือเป็นครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล ยอมเข้าร่วมศึกชิงแชมป์สโมสรโลก และคู่แข่งของพวกเขาคือ ฟลาเมงโก้ แห่ง บราซิล ที่คับคั่งด้วยดาวดังสายพันธุ์แซมบ้า
ขนาด "เรด แมชชีน" ผู้ยิ่งยงยังโดนต้อนตือไปแบบขาดลอยถึง 3-0
ลิเวอร์พูล ได้กลับไปที่ ญี่ปุ่น อีกครั้งในปี 1984
ผมโตทันดูเกมนี้ที่มีการถ่ายทอดสดกลับมาเมืองไทยตอนเช้าวันอาทิตย์ หากจำไม่ผิดน่าจะเป็นช่อง 7 สี ทีวีเพื่อคุณแม่บ้านนี่แหละครับ
นอกจากนี้ยังขูดความจำได้อีกอย่างว่าเด็กผีประเภทมือใหม่อย่างผมเอาใจช่วยหงส์แดงแบบสุดลิ่มทิ่มถูรูซะด้วย โทษฐานที่พวกเขาเป็นทีมจากอังกฤษเหมือนกัน ถ้าเป็นสมัยนี้คงเอาใจช่วยคู่แข่งซะมากกว่า 5555
อินดิเพนเดียนเต้ จาก อาร์เจนติน่า เฉือนเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปอย่างหวุดหวิด ด้วยสกอร์ 1-0
ยุคโน้น...ทีมจากอเมริกาใต้มีความเหนือชั้นกว่าทีมจากยุโรปหลายประการนะครับ เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของลีลาการเล่นและความสามารถเฉพาะตัวอันแพรวพราว เนื่องเพราะตอนนั้นเหลี่ยมเล่ห์และกลยุทธ์ลูกหนังยังไม่แยบยลเหมือนยุคปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างลงไปเปิดเกมรุกแลกหมัดกันให้ตายไปข้างหนึ่ง
มิเท่านั้นในยุโรปยังมีการจำกัดโควต้าของผู้เล่นต่างชาติ และที่สำคัญนักเตะจาก อเมริกาใต้ ก็ยังไม่นิยมเดินทางมาค้าแข้งในยุโรปเหมือนในสมัยนี้
ถึงปี 2000 เกิดความซ้ำซ้อนขึ้นกับฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก
เมื่อสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ "ฟีฟ่า" จัดการแข่งขันชิงแชมป์สโมสรโลกในชื่อ "ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ" ขึ้นมาซะอย่างนั้น โดยการส่งเทียบเชิญแชมป์ของแต่ละทวีปมาเซิ้งแข้งกันที่ประเทศบราซิลในรูปแบบทัวร์นาเมนต์
แชมป์ยุโรป 1999 อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์สโมสรโลกในปีเดียวกันก็ได้รับคำเชิญซึ่งในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันนั้นเอง พลพรรคปีศาจแดงต้องทำศึก เอฟเอ คัพ รอบ 3 แถมตัวเองมีศักดิ์ศรีเป็นแชมป์เก่าซะด้วย
ณ จุดนั้น อังกฤษ มีความต้องการจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2006 ทั้งนี้เพื่อเอาใจ "ฟีฟ่า" แมนฯ ยูไนเต็ด จึงถูกขอร้องแกมบังคับจากสมาคมฟุตบอล (เอฟเอ) ว่า "พวกมึงต้องไปนะ" จนตัวเองจำเป็นต้องถอนตัวจากการป้องกันแชมป์ เอฟเอ คัพ กลายเป็น "รอยด่าง" ของสโมสร
พลพรรคปีศาจแดงเดินทางไปแข่งแบบจำใจท่ามกลางอากาศร้อนจัด ก่อนโดนถีบตกรอบแรกแบบเสียหมา ขณะที่ "ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ" ครั้งแรกในปี 2000 ประสบความล้มเหลวแบบไม่เป็นท่าจนต้องเลิกจัดไปเลย
สำหรับฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกแบบดั้งเดิม หรือที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า "อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ" ดำเนินมาจนถึงปี 2004 ก่อนจะถูกผนวกรวมกันเป็น "ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ" ในปี 2005 จัดการแข่งขันที่ดินแดนปลาดิบเหมือนเดิมนี่แหละ
ปี 2005 แชมป์ยุโรป ลิเวอร์พูล เข้าชิงโทรฟี่ที่มีลูกโลกอยู่บนยอดอีกครั้ง แต่พลาดท่าพ่ายแพ้ เซา เปาโล แห่ง บราซิล ไปอย่างหวุดหวิด ด้วยสกอร์ 1-0
สรุปว่าจากการเป็นแชมป์ยุโรปถึง 5 สมัย ลิเวอร์พูล ลงชิงชัยไปทั้งหมด 3 ครั้ง แพ้ทั้ง 3 ครั้ง และถอนตัวไปอีก 2 ครั้ง
.
.
.
สำหรับศึกชิงแชมป์สโมสรโลกและขบวนนี้ ลิเวอร์พูล ผ่านรอบคัดเชือกเข้าไปเผดียงแข้งกับคู่แข่งหน้าเดิมจากเมื่อ 1981อย่าง ฟลาเมงโก้ อีกครั้ง ซึ่งมันก็ต้องแลกมาด้วยการทิ้งถ้วยที่มีศักดิ์ศรีเป็นอันดับ 3 ของอังกฤษอย่าง ลีก คัพ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์มากที่สุด
แม้น "ลีก คัพ" จะเป็นถ้วยรางวัลที่ถูกหมางเมิน แต่โดยเนื้อแท้ของมันก็น่าจะมีคุณค่าสูงกว่าโทรฟี่สโมสรโลกที่จัดอยู่ในประเภท "เอ็กซิบิชั่น แมตช์" ด้วยซ้ำ
อนึ่ง เนื่องจากมันเป็นการแข่งขันแบบรายการพิเศษ เพียงแค่นัดเดียว หรือ 2 นัด คล้ายการชิงโล่การกุศล คอมมิวนิตี้ ชิลด์ หรือ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ที่แค่เอาแชมป์มาชนแชมป์
แต่เมื่อมันเกิดขึ้นในเวลาคาบเกี่ยวกันเกินไป โดยที่ฟุตบอลลีกไม่สามารถเลื่อนโปรแกรมให้ ลิเวอร์พูล ได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องเลือก
เป็นเวลานับสิบปีมาแล้วที่ไม่มีใครให้ความสำคัญกับถ้วยที่ได้ชื่อว่า มิคกี้เม้าส์ คัพ สำหรับคุณหนูๆ สักเท่าไหร่ เฉพาะอย่างยิ่งทีมระดับพญายักษ์ที่ได้แชมป์ไปก็คงไม่ภาคภูมิใจอะไรมากมาย ว่าแล้ว ลิเวอร์พูล จึงส่งเด็กๆ ชุดอายุต่ำกว่า 23 ขวบลงไปให้ แอสตัน วิลล่า กระทำชำเราอย่างเมามันเมื่อวันก่อน
เวลาเปลี่ยน โลกเปลี่ยน ฟุตบอลก็เปลี่ยน เดี๋ยวนี้แชมป์ยุโรปผูกขาดในการเป็นแชมป์สโมสรโลกไปเรียบร้อย
6 ปีล่าสุดทีมที่เป็นแชมป์ยุโรปคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ และใน 12 ครั้งล่าสุดมีแชมป์จากอเมรกิาใต้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่อาจหาญคว้าแชมป์โลกไปครอง
อืมมมมมมมมม...นะ
และนั่นหมายความว่า...ว่า...ว่า...โอ้วซ์...ไม่...ไม่...ไม่นะ...ไม่...ไม่จริงใช่ไหม...ไม่จริงงงงงงงง !!!
บอ.บู๋