นัดสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ผมและพรรคพวกอีกสองคนเข้าไปดูเกมในแอนฟิลด์
ลิเวอร์พูล รับมือ วูล์ฟแฮมป์ตัน ทีมลูกครึ่งจีน-อังกฤษ
ไปดูแบบว่า "มีความหวังแชมป์นิดหน่อย" คิดว่าไบรท์ตัน พอยันเสมอแมนฯซิตี้ได้บ้าง
เชื่อว่าลิเวอร์พูล ไม่น่าจะมีปัญหา เช่นกันแมนฯซิตี้ก็ไม่ปัญหาแม้โดนนำก่อน
วันนี้แฟนวูล์ฟส์แสบมาก...หลอกเฮ ให้แฟนหงส์มุมธงฝั่งอัฒจันทน์หลักดีใจ
ที่ไหนได้...โดนหลอก เฮ เก้อ แต่ไม่นานนัก ฝั่งบ๊อกส์วีไอพี ฝั่งเซอร์ เคนนี ดัลกลิช สแตนด์ เฮกันลั่นเพราะมีทีวีดู เจมี เรดแนปป์ นั่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่งของกลุ่มผม ชูกำปั้นดีใจเอง
คราวนี้ก็เฮ กันทั้งสนาม....จน แมนฯซิตี้ ตีเสมอ ได้แฟนวูล์ฟส์ เฮกันลั่น
พอแมนฯซิตี้ ตีเสมอได้...ความรู้สึกตอนนั้น คือ "จบข่าว" แล้ว
ก็ไม่ได้คิดอะไรนอกจากคิดว่านัดสุดท้ายมาปิดซีซั่นกับสามแต้มแล้วขึ้นเที่ยวถิ่นไฮแลนด์ของชาวสกอตติช ยาวไป 5555
เกมล่าสุดส่งท้ายปีเก่าในแอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล รับมือ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่พึ่งทำแสบแมนฯซิตี้ มาหมาดๆ และเป็นทีมที่ชนะเรือใบไปและกลับสองนัด 6 แต้มเต็ม ซึ่งสถิติของพวกเขานั้นเคยชนะไปกลับในปี 1999 ตอนนั้นเล่นระดับเดอะ แชมเปี้ยนชิพ (ชื่อเดิมด.1) ทั้งสองทีม
เกมนี้ก่อนลงสนามขุนพลวูล์ฟส์มีความมั่นใจว่าจะเป็นทีมแรกที่ชนะลิเวอร์พูลให้ได้
ฮาวทูทิ้ง...
แชมป์เก่ายังกำหราบมาแล้ว...."รองแชมป์" จะเหลืออะไร
ยิ่งก่อนลงสนามมาใส่ตราแชมป์สโมสรโลกกลางหน้าอกข่มกันแบบนี้
ทีมนูโน ซานโต ยิ่งมีความอยาก และต้องการล้มหงส์ให้ได้....
ฟุตบอลมีความสวยงามตรงนี้ เพราะมันคือ "การแข่งขัน"
มีแพสชั่นที่อยากเอาชนะซึ่งกันและกัน ไม่มีกลัวและยอมจำนนง่ายๆ
นี่แหละ...กำไรจึงตกเป็นของแฟนบอล
ก่อนแข่งเกมนี้ลิเวอร์พูลนำเลสเตอร์ 10 คะแนน แต่แข่งน้อยกว่าสองนัด
นำแมนฯซิตี้ 14 คะแนน แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด เกมนี้เตะก่อนเรือใบสีฟ้า สองชั่วโมง
ชนะก็นำต่อ 17 คะแนน....กดดันกันอีกแล้ว
หลังจบเกมกับวูล์ฟส์ หงส์นำ แมนฯซิตี้ 17 แต้มก่อนลงสนามรับมือเชฟฯยูฯ !!!
ทิ้งเรือใบห่างมากมายขนาดนี้
อย่างที่เปรยเอาไว้ว่าคู่แข่งโดยตรงหงส์แดงคือ "แชมป์เก่า" นั่นแหละ
ฮาวทูทิ้ง...
แม้ครึ่งทางผ่านไปแต้มนำห่างถึงเลขสองหลัก แต่ฟุตบอลไม่มีคำว่า "ย่ามใจ"
แฟนบอลคิดได้ครับ....แต่เจอร์เก้น คลอปป์และนักเตะคิดแบบนั้นไม่ได้
"ต้องไม่รู้สึก" ถึงคำว่า "แชมป์" หรือรถแห่ อะไรทั้งหลาย
มืออาชีพจะต้องคิดว่า "ยังไม่ได้จับถ้วย"
ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือ "โฟกัส" กับเกม
ทุกเกมที่ลงสนาม มุ่งมั่นเพื่อชนะและเก็บแต้มไปเรื่อยๆ
ต้องไม่ลืมว่าหายนะทุกอย่างในชีวิตเกิดขึ้นเพราะความ "ย่ามใจ"
ความประมาทคือหนทางสู่ความตาย อย่างแท้จริงที่สุด
โอเค....นั่นคือก่อนเกมเตะวูล์ฟ คราวนี้พอเกมจบออกมาแบบนี้
ภาพจึงออกมาเป็นลักษณะที่ว่า ลิเวอร์พูล ทำแต้ม "ทิ้ง" คู่แข่งไปเรื่อยๆ
พวกเขาทิ้งคู่แข่งได้อย่างไร .....
ฮาวทูทิ้ง...
** ระบบทีมลงล็อก
เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำทีมชุดนี้มาตั้งแต่ปี 2015 พยายามถ่ายทอดแนวคิดฟุตบอลแบบ เฮฟวี เมทั่ล ของเขา ให้นักเตะเข้าใจ มีการสลับปรับเปลี่ยน เลือก ไม่เลือกนักเตะ ใครเข้าไม่เข้าระบบ ใครอยากอยู่และอยากย้าย...
เราจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่น ในทีม จากทีมร็อดเจอร์สเดิมเป็นทีม คล็อปป์
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็น เซอร์ เคนนี ซื้อมาก่อน เพราะเป็นเด็กอังกฤษ
บ๊อบบี้ ฟีร์มีโน ทีมบริหารซื้อมาให้ ร็อดเจอร์ส ใช้ก่อนโดนบีบให้ลาออกไป
คูตินโญ่ ดึงดันที่จะไปบาร์เซโลนา แล้วความฝันนั้นกลับไม่เป็นความจริง
ปีแรกของเขาคือ ต.ค. 2015 มี มาร์โก กรูยิช มาคนเดียวช่วง ม.ค.
ปีที่สอง 2016-17 ซื้อ 6 คน ที่เป็นตัวหลักตอนนี้ มาติป, มาเน่ และ จีนี่
ปีที่สาม2017-18 ได้มา 4 คนช่วงซัมเมอร์ ร็อบโบ้, อ๊อกซ์, ซาลาห์ ,โซลันกี้
ก่อนที่ม.ค. จะทุ่มซื้อ ฟานไดจ์ รวมเป็น 5
ฮาวทูทิ้ง...
ปีที่แล้ว 2018-19 ได้อีกสี่คน เกอิต้า, อ.เบคเกอร์, ฟาบินโญ และ ชาคิรี
ปีนี้ 5 คนดาวรุ่งสองคน ฮาร์วีย์ เอลเลียตต, เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก,
และประตู อาเดรียน, โลเนอร์แกน อันนี้จำเป็น ล่าสุดคือ มินามิโนะ
ถึงวันนี้ คล็อปป์ ใช้นักเตะในสี่ปีรวมกัน 21 คน
จำนวนนี้เป็นแกนนำของทีม 11 คนแรก 9คน ไม่นับตัวสำรอง
แค่ เฮนโด้, ฟีร์มีโน่, เทรนต์ เด็กสร้าง รวมทั้ง มิลเนอร์ ที่เป็นกลุ่มเดิม
ถึงจุดนี้เขาได้ทีมคล็อปป์ ตั้งแต่ อ.เบคเกอร์ จนถึง ตัวทำสามคน
ชุดดั้งเดิมก่อนเขามามี เฮนโด้, บ๊อบบี้ ที่อยู่ในแผนการเล่นเท่านั้น
จะว่าไป เฮนโด้ ก็รับบทบาทที่แตกต่าง บ๊อบบี้ แค่สองเดือน
เราอาจเหมาได้ว่า บ๊อบบี้ คือเด็กคล็อปป์ มากกว่า ร็อดเจอร์ส
ที่ต้องเขียนแบบนี้เพราะการเข้ามารับช่วงต่อจากโค้ชเก่า
ฮาวทูทิ้ง...
สิ่งที่โค้ชใหม่ต้องทำคือ...ล้างภาพการเล่นโค้ชเก่า ออกก่อน
ค่อยๆใส่ไอเดียของตัวเองเข้าไป ถ้ารับรู้เร็วมันก็ดี แต่ถ้าไม่เร็วต้องสร้าง
สิ่งที่ได้เห็นชัดๆคือ "ทัศนคติ" ในการเล่นและ ทิศทางของทีมมันไปข้างหน้า
ทัศนคติได้แล้ว...รูปแบบการเล่นค่อยๆผสมผสานปรับเปลี่ยน
4-3-3, 4-2-3-1 บ้าง แต่ตัวผู้เล่นที่ทำงานกับคลอปป์ เข้าใจถึงวิธีการ
เช่น...การเคลื่อนที่ของคนไม่มีบอล, สปีดบอล, เชปเกมรับ, แดนกลาง, เกมรุก
การเข้าไปรุมเพรสซิ่งคู่แข่ง รวมทั้งการแก้เพรสซิงคู่แข่ง ทำยังไง
จังหวะสวิทช์บอล หรือการเปลี่ยนเกมด้วยการโยนบอลข้ามไปอีกฝั่ง
นี่คือการแก้เพรสซิงอย่างหนึ่ง...เพราะขณะที่คู่แข่งเอียงมารุมเพรสทางซ้าย
ถ้าสวิทช์บอลข้ามหนีไปทางขวา พื้นที่ตรงนั้นจะโล่ง
แล้วใครควรอยู่ตรงพื้นที่นั้น (off the ball) ตัวทำหรือฟูลแบกอีกฝั่ง
พวก cross field diagonol หรือโยนบอลทแยงจากซ้ายไปขวา, ขวาไปซ้าย
ฮาวทูทิ้ง...
เมื่อฟูลแบ๊ก ขึ้นเกมรุก ยืนชิดเส้น เพื่อดึงโซนรับคู่แข่งออก สามตัวทำ ทำอะไร
แล้วเมื่อแบ๊กเติมเกมรุก พื้นที่ว่างของฟูลแบ๊ก ใครจะ cover หรือสอดซ้อน
ลูกตั้งเตะซ้อมสูตรไหน...ฟรีคิกตรงไหน มุมไหนใครยิง
สามตัวทำข้างหน้า..เล่นอะไรกับฟูลแบ๊กและแดนกลาง
วอลล์ พาส, ชิ่ง 1-2 ฝากบอลแล้วรอรับบอลชิ่ง หรือโซโลไปเอง
เกมสวนกลับออกบอลกันอย่างไร ....
ถึงจุดนี้ผมว่านักเตะของคล็อปป์ เข้าใจดีหมดแล้ว
เรื่องนี้อธิบายได้เยอะและยาวกว่านี้ ไว้ว่างๆจะเขียนให้อ่านครับ
ผมมีหนังสือเจอร์เก้น คล็อปป์ ภาษาอังกฤษ กับ เป๊ป ตอนทำบาเยิร์น อยู่
แต่เอาเป็นว่า นักเตะทุกคนเข้าใจวิธีการเล่นของ คล็อปป์ มากขึ้นเรื่อยๆ
ฮาวทูทิ้ง...
สังเกตว่าโครงสร้างของทีมในสองปีหลังไม่เปลี่ยน แค่มาเติมให้ดีขึ้น
อ.เบ็คเกอร์ มาเติมจุดที่ประตูอย่าง มิโญเลต์ และคาริอุส ทำไม่ได้
ฟานไดจ์ มาคุมเกมรับ , ร็อบโบ้ เสริมจุดแบ๊กซ้าย
ส่วน เฮนโด้, จีนี, มิลเนอร์, เทรนต์ เด็กสร้าง, มาติป, ลอฟเรน
รวมทั้ง มาเน,ซาลาห์ ที่อยู่กับทีมคนละสองปีสามปี
นักเตะเข้าใจโค้ช, โค้ชเข้าใจนักเตะ, จิตวิทยานั้นมีแน่นอน
โภชนาการและรายละเอียดเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬา
เหล่านี้มุ่งหน้าสู่มือ เจอร์เก้น คลอปป์
เพื่อกำหนดแท็กติกการเล่น ที่เป็นเหตุผลสำคัญที่สุด
มันถูกอธิบายถ่ายทอดเชิงแท็กติก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสี่ปี
ทำให้ระบบทีมจึงลงล็อค....อย่างที่เห็นๆกัน
ฮาวทูทิ้ง...
** Mentality หรือ หัวจิตหัวใจแข็งแกร่ง
เพราะโค้ช มีแคแรกเตอร์ เป็นนักสู้ ดุดัน ไม่ยอมแพ้
แนวทางของนักเตะในสนามจึงออกมาแบบนั้น ....
โค้ชเป็นอย่างไร....ฟุตบอลของทีมก็เป็นอย่างนั้น
เช่นกัน...คลอปป์ มองเห็นปัญหา จุดอ่อนของทีมที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กัน
ได้ตัวทำข้างหน้ามาเสริม....พร้อมระบบการเล่นที่เข้ากับทีม
จัดการแก้ไข เกมรับ ได้เซนเตอร์ฮาล์ฟมา , ได้ประตูฝีมือดีมา
เกมรุกใช้โอกาสเปลืองลดน้อยลง จนคมขึ้นกว่าเดิม
กระทั่งพาทีมก้าวจากแค่ไปเตะ แชมเปี้ยนส์ ลีกมาลุ้นแชมป์
แม้ว่ามันไม่ได้ทันทีทันใด แต่มันคือ "พื้นฐาน" ของทีมและนักเตะ
ทุกคนผ่านงาน เสริมกระดูกของการสู้เพื่อลุ้นแชมป์ และคว้าแชมป์
ฮาวทูทิ้ง...
ตกในสถานะการณ์แบบนั้นจะเอาตัวรอดให้ชนะอย่างไร
แพ้เรอัล มาดริด ในนัดชิงชนะเลิศ เพราะกระดูกเบอร์รอง
ก่อนกรุยทางสู่การเป็นแชมป์ได้จากความผิดหวัง ในปีต่อมา
ได้ 97 แต้ม มากกว่าแชมป์อีก 25 ฤดูกาล แต่ยังไม่ได้แชมป์
มันคือความผิดหวังที่อยู่บนพื้นฐานของทีมที่ลงตัวแต่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย
ซีซั่นนี้ จึงกลายเป็นพลังที่มาเสริมให้การเล่นแต่ละเกม ดูแข็งแกร่ง
พลาดยาก, แพ้ยาก, โดนยิงก่อนเอาคืน , ยิงประตูชนะท้ายเกม
ถ้าเล่นดี ชนะง่ายๆเลย ไม่เหมือนปีแรกๆที่ คล็อปป์ มาทำงาน
ตรงนี้คือการเรียนรู้จนสภาพจิตใจแข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับทุกสถานะการณ์
มันคือ mentality ที่คือคุณสมบัติของแชมเปี้ยนส์
ฮาวทูทิ้ง...
** พลังแฝง
เดอะ ค็อปไง....คำล้อเลียน คำสบประมาท 30ปีที่รอคอยมันคือแรงเก็บกด
ไม่ได้ปีนี้ปีหน้าก็ลุ้นใหม่....แฟนบางทีมได้กล่าวเอาไว้เชิงเย้ยหยันมาตลอด
ความรู้สึกเก็บกดเหล่านี้มันเปลี่ยนเป็นพลัง ขับเคลื่อนและกดดัน
ให้ผู้บริหารต้องเปลี่ยนแปลงทีม มันไม่รู้หรอกว่าใครจะเป็นโค้ชที่ใช่ นักเตะที่เหมาะ
แต่ทุกครั้งที่ความพยายามนั้นล้มเหลว มันคือการเรียนรู้ เพื่อคนใหม่ที่ดีกว่า
เมื่อแฟนบอลส่งเสียง เดอะ ค็อป เร่งเร้า กว่า 60% คือแฟนบอลอายุ40 ปี
คนกลุ่มนี้ ผ่านการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในยุคเดิม
เมื่อได้กำลังสนับสนุนจากแฟนยุคใหม่ที่ยังไม่เคยได้แชมป์ลีก
พลังแฝงเหล่านี้มันสนับสนุนและกดดันเพื่อให้ทีมค้นหาสิ่งที่ดีสุดในทีมบอล
นั้นคือโค้ชและนักเตะ....
FSG ฟังเสียงเดอะ ค็อป มาตั้งแต่แรก ไม่งั้นไม่แต่งตั้ง เซอร์ เคนนี ดัลกลิช คุมทีม
ต่อเนื่องจาก รอย ฮ็อดจ์สัน ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนมาเป็น เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
มันคือการเรียนรู้ถูกผิด....จังหวะดีที่ชื่อของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อยู่ในใจเด็กหงส์
ฮาวทูทิ้ง...
ไม่ใช่เพียงแค่ข้อมูลจากตัวเลขอะไรมากมาย แต่เอาคุณภาพทำงานของ JK
ประสบการณ์ของเขาและความตั้งใจของเขา
ที่จะมาซ่อมและสร้างทีมที่ชำรุดให้กลับมาดีอีกครั้ง ....
อย่าลืมว่าลิเวอร์พูลคือทีมที่มี "สตอรี" มากมาย
แรงสนับสนุนของเดอะ ค็อป ประเมินค่ามิได้
มันคือส่วนผลักดันให้ทีมต้องเดินกลับไปสู่ความสำเร็จให้ได้
แม้กระทั่งผู้บริหารยังต้องรับรู้ถึงพลังแฝงนี้ จนได้ คล็อปป์ มา
แล้ว คล็อปป์ เองก็รับรู้ถึงมวลมหาศาลของแรงเชียร์
นักเตะเองก็ทราบดี...มันส่งผลต่อการคุมทีมและเกมการเล่น
โดยเฉพาะ 2 ปีที่ผ่านมา ภาพนั้นชัดมาก
การคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เวทียุโรปที่เด็กหงส์คุ้นเคยมากกว่าใครในอังกฤษ
การคว้าแชมป์สโมสรโลกตามแรงสนับสนุนของเดอะ ค็อป ยิ่งชัด
เหล่านี้มันคือพลังแฝงที่ผลักดันให้ทีมแสดงความสามารถออกมา
จนเป็นผลให้ปีนี้....ทิ้งคู่แข่งได้ห่างขึ้นมากกว่าเดิม
ฮาวทูทิ้ง...
** แมนฯ ซิตี้ ฟอร์มตกเอง
อันนี้คือแรงเสริมบวก...ขณะที่หงส์แดงคงมาตรฐานเอาไว้ได้แถมดีกว่าเดิม
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับฟอร์มตกลงไป ก่อนเตะเชฟฯยูไนเต็ด แพ้ 5 ใน19 นัด
เรียกว่าแพ้ต่อซีซั่นมากกว่า 2 ซีซั่นที่ผ่านมาทั้ง38 นัด
ผลงานในสนามชี้ชัดว่าดร็อปลงชัดเจน นี่ยิ่งทำให้ช่องว่างมันโดนทิ้ง
สิ่งที่พวกเขาทำได้คือ "รอ" ให้ลิเวอร์พูลพลาด หลุดฟอร์มไปเอง
โดยที่พวกเขาต้องไม่พลาดด้วย
ประเด็นนี้แฟนบอลทั่วไปที่ไม่ใช่แฟนหงส์หรือว่าแฟนเรือใบตัวปลอม สงสัยว่า...
หงส์พลาดเอง กับ แมนฯซิตี้ ไม่พลาดเลย
อะไรเกิดขึ้นง่ายกว่ากัน????
ฮาวทูทิ้ง...
ส่วนหนึ่งในการเขียนวันนี้ ต้องขอขอบคุณผู้กำกับหนังสารคดีฝีมือมากและบ้าบอลจัด
ที่ชื่อ "เอก" ภาสกร ประมูลวงค์ ที่ให้ไอเดียกับผมมาว่า ...
ช่วยทำสกู๊ป "ฮาวทูทิ้ง" ให้หน่อยเถอะ
ผมเลยนำมาตั้งชื่อเรื่องนี้และหาเหตุผลทางฟุตบอลไม่ใช่ "ความรู้สึก" คิดเองเออเอง
มายืนยันว่า ฮาวทูทิ้ง ของหงส์แดง นั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร
อย่างไรก็ตาม....#ฮาวทูทิ้ง นี้ยังอยู่ในระหว่างการเดินทาง
ต้องรักษาระยะของการ "ทิ้ง" เอาไว้จนถึงเป้าหมาย
ที่เขียนมาทั้งหมด ยังไม่ใช่บทสรุปอะไรเลยนะครับ
อย่าพึ่งคิดไปไกล....ข้อสอบยังคงมีให้ทำอยู่นับจากนี้
นี่มันเป็นเพียงแค่ ครึ่งฤดูกาลพรีเมียร์ลีก
แค่มาบอกว่า "หงส์แดง" ทิ้งคู่แข่งได้อย่างไร เท่านั้นเอง
#ฮาวทูทิ้ง #ทิ้งยังไงให้ไล่ไม่ทัน
Jackie