ในตอนนี้คงยังไม่มีเดอะค็อปคนไหนคิดไปไกลขนาดที่ เดยัน ลอฟเรน กระชุ่นหรอกนะครับ
ปราการหลังโครแอตกระตุ้นเพื่อนๆ ให้หยิบเอาความสำเร็จของบาร์เซโลน่าในยุค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาเป็นตัวตั้ง แล้วถามตัวเองว่าเราจะไปถึงระดับนั้นได้ไหม
ระดับนั้นที่ว่าไม่เพียงแค่การเป็นแชมป์หรือจำนวนโทรฟี่เท่านั้น หากยังหมายความถึงบารมีที่แผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง เป็นเบอร์หนึ่งของวงการชนิดที่ปราศจากข้อกังขา
ทำได้อย่างบาร์เซโลน่าในยุคเป๊ปไหม?
ถ้าเรายังไม่ลืมความรู้สึกง่ายจนเกินไปนัก บาร์เซโลน่า 2008/09 ถึง 2011/12 ที่อยู่ในมือของกวาร์ดิโอล่าคือสุดยอดของสุดยอด.. ของสุดยอด
เป็นทีมไร้เทียมทาน เก่งแบบบ้าบอจนผู้คนพากันประชดว่าพวกเขาคงมาจากนอกโลกล่ะมั้ง
ไม่ใช่ว่าบาร์ซ่าชุดนั้นจะแพ้ไม่เป็นเลย พวกเขามีแพ้ทีมอย่าง นูมานเซีย มายอร์ก้า โอซาซูน่า เอร์กูเลส เคตาเฟ่ หรือ รูบิน คาซาน เคยตกรอบโกปา เดล เรย์ เคยตกรอบยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เคยถูกกระชากแชมป์ลา ลีกาไปจากมือ
แต่ไม่มีใครปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของพวกเขา สิ่งที่บาร์ซ่ายุคนั้นรังสรรค์ออกมาในสนามคือคุณค่าระดับเพชรยอดมงกุฏ มันเป็นฟุตบอลที่สวยงาม ไหลลื่น เด็ดขาด ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ
เป็นฟุตบอลในฝัน เพริศแพร้ว แตะจุดสุดยอดของจินตนาการด้วยนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ชาบี เอร์นานเดซ อันเดรส อิเนียสต้า การ์เลส ปูโยล เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ เคราร์ด ปิเก้ เปโดร โรดริเกซ ฯลฯ
ผมยังไม่เคยลืมความรู้สึกที่มีต่อบาร์เซโลน่ายุคนั้น ถ้าเปรียบเป็นมวยพวกเขาก็คือแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทของทุกสถาบัน
ความปราชัยหรือการตกรอบที่เกิดขึ้นรายทางกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทีมเลือดหมูน้ำเงินยุคเป๊ปสร้างให้กับวงการ บาร์ซ่าในเวลานั้นเปรียบเสมือนหมุดหมายของเกมฟุตบอลยุครอยต่อทศวรรษ
ทำได้อย่างบาร์เซโลน่าในยุคเป๊ปไหม?
ผมคิดว่าหลายคนก็คงยังไม่ลืมความมหัศจรรย์ของทีมอาซุลกราน่ายุคนั้น
4 ฤดูกาลของเป๊ป บาร์ซ่ากวาดแชมป์ 14 รายการ แบ่งเป็น สโมสรโลก 2 แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ลา ลีกา 3 โกปา เดล เรย์ 2 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2 และซูเปร์โกปาอีก 3
ค่าเฉลี่ยคือ 7 แชมป์ใน 2 ฤดูกาล.. 3.5 แชมป์ใน 1 ฤดูกาล
เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือใน 4 ฤดูกาลที่ว่า พวกเขาเป็นแชมป์ 3-4-3-4 รายการ
ลิเวอร์พูลผ่านปีแรกไปแล้ว ปี 2019 หงส์แดงกวาด 3 รายการใหญ่ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซูเปอร์คัพ และสโมสรโลก แต่พวกเขาต้องได้ 4 แชมป์ในปีนี้ 3 แชมป์ในปีหน้า และอีก 4 แชมป์ในปีถัดไป
ยังไกลเกินไปที่จะคิดถึงมันใช่ไหมครับ.. ผมก็คิดอย่างนั้น เวลานี้จิตใจเดอะค็อปจดจ่ออยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละคือ 30 ปีที่รอคอยจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่
เรื่องอื่นๆ พักไว้ก่อน ยังไม่มีเวลาจะมาตื่นเต้นด้วย
หากอันที่จริงคำพูดของลอฟเรนนั้นแฝงความท้าทายที่ชวนให้ฮึกเหิมไปด้วยกัน ให้ทุกคนมีเป้าหมายสูงส่งและเกิดความมุมานะที่จะลองปีนขึ้นไปทักทายเป้าหมายนั้น
ทำได้อย่างบาร์เซโลน่าในยุคเป๊ปไหม?
ไม่ได้รู้สึกว่าน่าหมั่นไส้หรือคุยโว แต่เป็นการท้าทายตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ไหม
ทำได้อย่างบาร์เซโลน่าในยุคเป๊ปไหม?
โจทย์ข้อนี้ยากเหลือเกินครับ เพราะมันหมายถึงการเป็นแชมป์ของแชมป์ เป็นตัวแทนของความเพอร์เฟกต์ที่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มใจจากคู่ต่อสู้และแฟนบอลทั่วโลก
ลิเวอร์พูลไม่ได้มีนักเตะมหัศจรรย์อย่างเมสซี่ ไม่ได้มีคนคุมจังหวะที่เป๊ะทุกอณูอย่างชาบี ไม่ได้มีวาทยากรอัจฉริยะอย่างอิเนียสต้า.. แต่ลิเวอร์พูลมีเครื่องจักรสีแดงของเจอร์เก้น คล็อปป์
เครื่องจักรสีแดงที่ทำงานไม่หยุด วิ่งไม่หยุด ลุยไม่หยุด ไม่เคยท้อ ไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยละทิ้งความหวัง
เครื่องจักรสีแดงที่มีคุณสมบัติแตกต่างมากมายหลายข้อแต่กลับมาผสมรวมกันได้อย่างกลมกล่อม มีผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลก (สำหรับเดอะค็อป) มีกองหลังที่ดีที่สุดในโลก (สำหรับเดอะค็อป) มี 3 กองกลางที่ถึงใจที่สุดในโลก (สำหรับเดอะค็อป) มี 3 ตัวรุกที่อันตรายที่สุดในโลก (สำหรับเดอะค็อป)
และมีผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในโลกสำหรับพวกเขา เอาใครมาแลกก็ไม่ยอม
ผมไม่คิดว่าเดอะค็อปจะหวังอะไรไปไกลถึงจุดที่ เดยัน ลอฟเรน ท้าทายหรอกครับ เวลานี้พวกเขามีความสุขล้นเหลืออยู่แล้ว
แต่ผมอยากจะบอกว่า ลิเวอร์พูลเวลานี้เดินขึ้นมาอยู่ในจุดที่เมื่อหันหลังมองกลับไปก็ไม่เห็นตีนเขาแล้วนะครับ
ทำได้อย่างบาร์เซโลน่าในยุคเป๊ปไหม?
ลิเวอร์พูลตอนนี้สลัดภาพเก่าๆ ทิ้งไปแล้ว สลัดภาพทีมที่น่าสงสารและน่าเห็นใจทิ้งไปหมดแล้ว ไม่ใช่ลิเวอร์พูลที่พร้อมจะถูกดูดนักเตะหัวใจของทีมให้ใครอื่นอีกแล้ว ไม่ใช่ลิเวอร์พูลที่ต้องเดินถอยหลังกลับมาตั้งหลักใหม่ทุกทีอีกแล้ว
ไม่ใช่แล้วลิเวอร์พูลที่เดินไปถึง 10 แล้วต้องเสียชาบี อลอนโซ่ ต้องกลับมานับ 6 นับ 7
ไม่ใช่แล้วลิเวอร์พูลที่ก้าวไปถึง 10 ก็เสียเฟร์นานโด ตอร์เรส ต้องกลับมานับ 5 นับ 6
ไม่ใช่อีกแล้วลิเวอร์พูลที่ไต่ไปถึง 10 อีกครั้งแล้วมาเสีย หลุยส์ ซัวเรซ จนต้องกลับไปนับ 3 นับ 4
ไม่มีอีกแล้วลิเวอร์พูลที่ชอกช้ำอยู่ร่ำไป เสียดวงใจให้คนอื่นทุกที
ถ้าจะมีจุดที่ลิเวอร์พูลก้าวไปถึงบาร์เซโลน่าในยุคนั้นก็คงเป็นหลักที่มั่นคง ด้วยนักเตะสำคัญของทีมไม่กระเด็นหลุดไปเลยแม้แต่คนเดียว
เป็นลิเวอร์พูลที่พร้อมจะดึงดูด ไม่ใช่ลิเวอร์พูลที่พร้อมจะโดนดูด
บาร์เซโลน่าของเป๊ปต่อยอดได้ด้วยการยืนระยะของนักเตะกลุ่มนั้น ชาบี-เมสซี่-อิเนียสต้า-ปูโยล-เปโดร-บุสเก็ตส์-ปิเก้ ไม่มีใครกระชากดวงใจของพวกเขาไปจากคัมป์ นูโดยที่พวกเขาไม่เต็มใจได้
ลิเวอร์พูลของคล็อปป์ก็กำลังอยู่ในสถานะนั้น ต่อยอดได้ด้วยการยืนระยะของนักเตะกลุ่มนี้
ซาลาห์-มาเน่-ฟีร์มีโน่-ฟานไดค์-เฮนโด้-อลีสซง-เทรนท์-ร็อบโบ้ พร้อมฝากอนาคตไว้ด้วยกันที่แอนฟิลด์
ไม่เสียใครไปโดยไม่เต็มใจอีกแล้ว เครื่องจักรสีแดงพร้อมเดินเครื่องต่อจาก 10 ไป 11 12 13 14..
แน่นอนครับมันเพิ่งเริ่มต้น แต่เริ่มจาก 10 ก็ดีกว่ากลับไปเริ่มจาก 5 หรือ 6 เป็นไหนๆ มันเป็นการต่อยอดที่ดี และมันก็ดีจริงๆ เลย..
ตังกุย