แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วโอกาสก็ยังอยู่ในกำมือแต่ก็อดเร้าใจไม่ได้..
เกมเหย้ารับเวสต์แฮมในศึกมันเดย์ไนท์ ลิเวอร์พูลขยับช่องว่างจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกไปเป็น 22 คะแนนเหมือนเดิม
กับเกมที่เหลือน้อยลงอีก 1 นัด
จาก 8 เกม สู่ 6 เกม สู่ 5 เกม.. เวลานี้ลิเวอร์พูลขอเก็บชัยชนะอีกเพียง 4 เกมเพื่อบรรลุฝันที่ปรารถนา
อีก 4 เกมนั้นใกล้แค่ไหน?
มันก็ใกล้แค่ว่าฤดูกาลนี้พวกเขาลงเตะในลีกมาแล้ว 27 เกม ชนะไป 26 เสมอเพียงนัดเดียว
เหลือเกมเตะอีก 11 นัด ไม่ต้องลำบากชนะถึง 10 เกมอย่างสถิติที่กรุยทางมาแล้ว แต่ขอชนะอีกแค่ 4 เกมเท่านั้น
จะเป็นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ขอชนะอีกแค่ 4 เกม..
นับถอยหลังกันได้อย่างจริงๆ จังๆ ครับ ไม่ต้องกั๊กกันแล้ว
ไม่ต้องกั๊ก....สนุกกับการนับถอยหลังได้แล้ว
มันเป็นฤดูกาลที่ความอัดอั้นทั้งหลายระเบิดออกมาหมด สมกับที่จะเป็นการสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน
3 ทศวรรษแห่งน้ำตาและความหวังกับทีมอย่างลิเวอร์พูลมันยิ่งกว่าคำว่านานเกินไป
บางคนหันมองย้อนกลับไปดูการรอคอยที่ผ่านมาแล้วก็นึกสงสัยว่าตัวเองว่าเราผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไรกันนะ..
เวสต์แฮมทำได้ดีสมกับที่ควรจะเป็น เดวิด มอยส์ กำชับลูกทีมทุกคนมีสมาธิกับเกมและพยายามเล่นอย่างมีเป้าหมายโดยใช้ มิคาอิล อันโตนิโอ ที่ตัวใหญ่ พิงได้ กล้าชนเป็นตัวเป้า
มีตัวปล่อยบอลดีๆ อย่าง เฟลิเป้ อันแดร์สัน คอยสร้างโอกาส และมี โรเบิร์ต สน็อดกราสส์ ที่อันตรายในการหาพื้นที่เป็นทีเด็ด
แต่แน่นอน พื้นฐานส่วนใหญ่ของขุนค้อนวางเอาไว้ที่เกมรับ ทุกคนหันหน้าเข้าหาบอลเมื่อลิเวอร์พูลเคลื่อนเกมข้ามเข้ามาในแดน
ช่วยกันเล่น ช่วยกันปิดพื้นที่ ดีแคลน ไรซ์ มาร์ค โนเบิ้ล โทมา ซูเช็ก อันเจโล่ อ๊อกบอนน่า อิสซ่า ดิย็อป ที่เป็นแนวแกนป้องกันตรงกลางไม่เปิดพื้นที่ให้นักเตะเจ้าบ้านเล่นกันง่ายๆ เลย
โอกาสในเกมโอเพ่นเพลย์มีไม่มากก็ต้องลุ้นจากเซ็ตเพลย์และเน้นที่สุดในทุกจังหวะที่มี ซึ่งอาคันตุกะจากลอนดอนก็ทำได้ดีมากเพราะผลลัพธ์ออกมาเป็น 2
ไม่ต้องกั๊ก....สนุกกับการนับถอยหลังได้แล้ว
นับตั้งแต่ฤดูกาลก่อนลิเวอร์พูลลงเตะในเกมลีกรวมกัน 65 นัด มีเพียงแค่ 6 ทีมเท่านั้นที่สามารถทำประตูพวกเขาได้มากกว่า 1 ลูก
2018/19 แมนฯ ซิตี้ (1-2) คริสตัล พาเลซ (4-3) เบิร์นลี่ย์ (4-2) นิวคาสเซิ่ล (3-2)
2019/20 เอฟเวอร์ตัน (5-2) เวสต์แฮม (3-2)
เวสต์แฮมทำได้เป็นทีมที่ 6 จะบอกว่าเป็นความสำเร็จก็ใช่ แต่มอยส์คงไม่ไคร่จะยินดีเท่าไหร่เพราะทีมของเขาเป็น 5 จาก 6 ทีมนั้นที่ยิงหงส์แดงได้ 2 ประตูก็จริงแต่ไม่มีคะแนนติดมือ
ยิ่งเมื่อดูจากสถานการณ์ที่ได้พลิกขึ้นนำ 2-1 ในครึ่งหลังก็ยิ่งน่าเสียดายแทน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่กำลังต้องการแต้มอย่างที่สุดแบบนี้ด้วย
หากก็นั่นล่ะครับ เจอลิเวอร์พูลเวลานี้ จะนำกี่ประตูก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น ยิ่งกับเกมที่แอนฟิลด์ด้วยแล้วก็ยิ่งยากที่จะรักษาความได้เปรียบไว้ได้จริงๆ
หงส์แดงทำให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพวกเขาสามารถหาหนทางเอาตัวรอดได้เสมอ บางครั้งจากการแก้เกม บางครั้งจากความมหัศจรรย์ของนักเตะ หรือกระทั่งบางครั้งจากโชคที่เข้ามา
แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากเหตุผลประการใด มันขมวดรวมเป็นคำๆ เดียว.. มุมานะ
ไม่ต้องกั๊ก....สนุกกับการนับถอยหลังได้แล้ว
ไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้จนกว่าเสียงนกหวีดสุดท้ายจะดัง ตามอยู่ก็มุมานะทวงคืน เสมออยู่ก็มุมานะเอาชนะให้ได้
ลิเวอร์พูลพยายามหาโอกาสด้วยการเข้าทำหลากหลายรูปแบบแต่ไม่มีอาการลนลาน พวกเขาอยู่ในสถานการณ์นี้บ่อยจนทำมันเป็นธรรมชาติ ไม่ร้อนรน
เร่งเกมขึ้นอีกเกียร์ตอนที่เสียประตู 1-2 แต่ไม่ได้ปั่นป่วน ไม่เสียรูปทรง คู่แข่งเน้นรับแนวกลางแน่นก็ใช้บอลด้านข้าง อาศัยการเติมเกมของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เป็นตัวทำ
ความอันตรายของทั้งคู่ไม่ผิดอะไรจากกองกลางจอมแอสซิสต์ เมื่อกลางแน่นมากๆ เข้า พื้นที่ด้านข้างย่อมเปิดเป็นปกติ นั่นคือโอกาสของทั้ง 2 คนซึ่งเมื่อได้ตัวช่วยชี้นดีอย่าง ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ บทสรุปจึงออกมาอย่างที่เห็น เทรนท์จ่าย 2 (เกือบ 3) ร็อบโบ้จ่ายอีก 1
กว่าจะมาเป็นทีมที่ครบเครื่องอย่างนี้ได้ ลิเวอร์พูลผ่านการซ่อมและสร้างโดยเจอร์เก้น คล็อปป์และทีมงานอยู่หลายปี เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2015
ทำงานกันอย่างหนักและจริงจังโดยได้รับอิสระและการสนับสนุนเต็มที่จากฝ่ายบริหาร ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือพาลิเวอร์พูลกลับไปสู่จุดที่เคยอยู่อีกครั้งให้ได้
พวกเขามีพลังสนับสนุนจากเดอะค็อปอยู่แล้ว มีสนามเหย้าที่วิเศษที่สุดอยู่แล้ว ขาดเพียงการจัดการที่ดี การวางแผนอย่างรอบคอบ และลงมือทำด้วยความจริงจัง
ไม่ต้องกั๊ก....สนุกกับการนับถอยหลังได้แล้ว
ย้อนกลับไปดูลิเวอร์พูลเมื่อ 5 ฤดูกาลก่อนอีกครั้ง เปรียบเทียบกับวันนี้เราเห็นพัฒนาการที่น่าทึ่ง ทุกคนรู้ว่าคล็อปป์เป็นเทรนเนอร์ชั้นยอด แต่คงคิดไม่ถึงว่าเขาจะพาทีมมาถึงจุดนี้ที่อาละวาดกวาดทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคนมูมมาม
กวาดอย่างมูมมามจริงๆ สถิติเตะ 27 ชนะ 26 เสมอ 1 บอกกับเราอย่างนั้น
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าถ้าสถานการณ์การแย่งแชมป์เป็นแบบทีต่อที นัดต่อนัดเหมือนฤดูกาลก่อน ความดีใจจะระเบิดออกมาขนาดไหนที่เอาชนะในเกมพลิกไปพลิกมาอย่างนี้ได้
อย่างที่เกริ่นหัวเอาไว้นั่นล่ะครับ แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วโอกาสก็ยังอยู่ในกำมือ สะดุดเสมอก็นำ 20 แต้ม ต่อให้แพ้ก็ยังนำ 19 แต้ม แต่เกมแบบนี้มันก็อดตื่นเต้นสุดๆ ไม่ได้
หากแคแร็กเตอร์ที่แสดงออกมาว่าพวกเขาไม่มีปล่อยเด็ดขาด ไม่ประมาทเลยนั้นต่างหากที่ทำให้เดอะค็อปยิ่งอุ่นใจ
เพราะที่ผ่านมาลิเวอร์พูลต้องอกหักมาตลอดกับความผิดพลาดแบบน่าเขกกะโหลกตัวเอง พลาดง่ายๆ ในเกมไม่ยาก เป็นแบบนั้นมาจนชินและน่าเบื่อ
ฤดูกาลนี้พวกเขาจึงเก็บทุกเม็ด ใครจะว่าใจร้ายก็ช่าง แต่เก็บทุกเม็ด ทุกหยด ไม่ปล่อยให้หลุดมือเด็ดขาดไม่ว่าสถานการณ์จะผ่อนคลายเพียงใด
ไม่ต้องกั๊ก....สนุกกับการนับถอยหลังได้แล้ว
คล็อปป์สร้างลิเวอร์พูลให้เป็นสุดยอดลิเวอร์พูล คือเขี้ยวลากดินกับการเก็บผลที่ต้องการ ด้วยทัศนคติที่ปลูกฝังลงไปสู่ลูกทีมทุกคนว่า ไม่ย่อท้อ อย่ายอมแพ้
คุณเหนือกว่าคู่แข่งแต่คุณอาจจะไม่ชนะคู่แข่งก็ได้ถ้าไม่พยายามมากพอ เกมกับเวสต์แฮมล่าสุดนี้ก็แสดงให้เห็น
จะสร้างผลงานระดับนี้ได้ต้องมีองค์ประกอบมากมายจริงๆ นะครับ นอกจากความพร้อมทุกด้าน สภาพจิตใจ การทดแทนกันระหว่างตัวจริงและตัวสำรองแล้วก็ยังต้องมีความพิเศษจากนักเตะในจังหวะที่เหมาะสมด้วย
อลีสซง เบ็คเกอร์ ช่วยเซฟทีมได้อีกแล้ว เกมนี้มีไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้ง นายทวารแซมบ้าคือคนที่มีบุคลิกแชมเปี้ยนโดดเด่นลำดับต้นๆ ในทีม เขาพกมันลงสนามทุกนัด นำความอุ่นใจปกคลุมกรอบเขตโทษซึ่งเป็นพื้นที่ของเขา
ตัวสำรองอย่าง อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ลงมาช่วยให้เกมแน่นขึ้นจาก นาบี เกอิต้า ในวันที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไม่อยู่
ไม่ได้บอกว่าอ๊อกซ์เก่งกว่านาบี ฟุตบอลเล่นกันเป็นทีม ความสำคัญของคำว่าทีมคือในวันที่เพื่อนเล่นไม่ได้ คุณสามารถทดแทนได้
เกมนี้อ๊อกซ์ลงมาแล้วเกมดีขึ้น เกมอื่นนาบีก็อาจจะทำอย่างเดียวกัน
เราไม่ตัดสินใครเพียงแค่เกมนัดเดียว ฟุตบอลลีกต้องดูกันยาวๆ เป็นภาพรวม 38 เกม
นั่นแหละความหมายของคำว่าทีมอย่างแท้จริง เวลานี้ลิเวอร์พูลมี "ทีม" ที่น่าอิจฉาที่สุดเลยล่ะครับ
สนุกกับการนับถอยหลังกันได้แล้ว บ่มอารมณ์เตรียมปลดปล่อยให้เต็มที่ ช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีก 3 เดือนเป็นของพวกคุณเต็มๆ
ตังกุย