มหาบุรุษที่เหล่าแฟนบอลแมนชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างยกย่องสรรเสริญให้เป็นดั่ง ราชันย์แห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คงหนีไม่พ้น เอริก คันโตน่า นักฟุตบอลที่เป็นทั้งศิลปิน และคนเจ้าอารมณ์ซึ่งสามารถทำอะไรที่หลายคนไม่กล้าทำ หรือทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายที่คนทั่วๆ ไปจะทำ
วีรกรรมของ "ก็องโต้" มีเยอะแยะมากมายพอๆ กับความสำเร็จที่เขาได้สร้างไว้กับ "ปีศาจแดง" แต่หากจะพูดถึงเรื่องในด้านลบ หลายคนคงจดจำลีลากังฟูคิกพิชิตโลกของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดีในเกมที่พบกับ คริสตัล พาเลซ และเหยื่อปุ่มสตั๊ดก็คือ แม็ทธิว ซิมม่อนส์ แฟนบอลปากปีจอ....
....หรือลีลาการพูดดั่งนักปราชญ์ที่ทุกถ้วยคำทุกประโยชน์ที่หล่นออกมาจากปากของ "เดอะ คิง คันโตน่า" ต้องทำให้ผู้คนที่ได้ยินต้องใช้เวลาขบคิด และวิเคราะห์กันหลายตลบ !!!
กระนั้นด้วยความที่เป็นศิลปินลูกหนังที่มาพร้อมกับอารมณ์แปรป่วน ทำให้บางครั้งเจ้าตัวก็ระงับความโกรธไม่ค่อยอยู่ โดยเฉพาะเมื่อถูกกระทำ อย่างในครั้งหนึ่งที่เขาเกือบตัดสินใจทำเรื่องสุดโหดในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่บุกเสมอ กาลาตาซาย แบบไร้สกอร์ ที่ประเทศตุรกี ในปี 1993
แมตช์นั้น "ปีศาจแดง" ภายใต้การกุมบังเหียนของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (ยังไม่ประดับยศอัศวิน) จำเป็นต้องชนะ กาลาตาซาย ให้ได้เนื่องจากเกมแรกพวกเขาเปิดบ้านเสมอ ยอดทีมดินแดนไก่งวง 3-3 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือการยิงประตูให้เร็วที่สุด
สุดท้าย "เร้ด เดวิลส์" ไม่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้ จนกระทั่ง คาร์ล โรธลิสเบอร์เกอร์ เปานกหวีดยาวหมดเวลาทันทีเมื่อครบ 90 นาที สกอร์บอร์ดแสดงตัวเองศูนย์สองตัว นั่นหมายความว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องโบกมือลาการชิงชัยถ้วยใบโตยุโรปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดสุด
อย่างไรก็ตามเกมนั้นมีประเด็นให้ต้องนึกถึงเพราะ คันโตน่า เกิดอาการตบะแตกกับการถ่วงเวลาของนักเตะเจ้าบ้านแถมท่านเปาชาวสวิตเซอร์แลนด์ก็ดันเปานกหวีดยาวจบเกมแบบไม่มีการทดเวลาอีกต่างหาก ทำให้เจ้าตัวระเบิดอารมณ์ด้วยการเตะบอลใส่ทีมงานที่อยู่ข้างสนาม แถมยังต่อว่าท่านเปาอีกด้วย จึงเป็นเหตุให้โดนใบแดง
ความเดือดระอุยังเพิ่มเป็นทวีคูณหลังจบเกมตอนที่นักเตะแมนฯยูฯ เดินออกจากสนาม โดย คันโตน่า ถูกขนาบข้างด้วยตำรวจ ก่อนจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันเมื่อมีการตะลุมบอนกันอย่างอุตลุดภายในอุโมงค์ โดยงานนี้คนที่เกี่ยวข้องก็คือ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ และ ไบรอัน ร็อบสัน กัปตันมาร์เวล กับคู่กรณีชาวตุรกีหลายคนซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นตำรวจแดนไก่งวง
เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ผ่านการถ่ายทอดออกจากปากของ รอย คีน หนึ่งในผู้ที่เห็นเหตุการณ์สาวหมัดอย่างดุเดือด ที่สำคัญหลังจากเหตุการณ์นั้นภายในห้องแต่งตัวเต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุ เพราะ คันโตน่า มีอากาคลุ้มคลั่งราวกับคนบ้า เพราะต้องการจะไปแก้แค้คนที่ทำร้ายเขา
สำหรับถ้อยคำของ "คีโน่" อยู่ในหนังสือเล่นใหม่ที่ชื่อ "King Eric: Portrait of the Artist" มหาบุรุษผู้เปลี่ยนวงการลูกหนังเมืองผู้ดี ว่า "ภายในห้องแต่งตัว เอริค กลายเป็นคนบ้าคลั่ง เขาต้องการกลับออกไปข้างนอกเพื่อตามหาตำรวจตัวแสบซึ่งใช้กระบองตีเขา เอริค เป็นคนตัวใหญ่แข็งแรง เขาโกรธจัด เขาประกาศก้องว่าจะฆ่าไอ้คนที่ทำร้ายเขา"
"ตอนนั้นหลายๆ คนทั้งผู้จัดการทีม (เฟอร์กูสัน), (ผู้ช่วย) ไบรอัน คิดด์ และนักเตะอีก 2-3 คนพยายามห้ามเขา ปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่จะหวาดหวั่นเวลาที่จะต่อสู้นะ แต่ตอนนั้นผมไม่ขอยุ่งด้วยจริงๆ ตรงนั้นมันเต็มไปด้วยคนตุรกีตั้งหลายคน! !" ตำนานฮาร์ดแมน กล่าว
เหตุผลที่ทำให้ คันโตน่า ตบะแตกในค่ำคืนนั้น โดยเฉพาะการโดนโปลิศตรุกีด่า โดยเจ้าตัวเผยว่า "มีเรื่องที่ทำให้ผมโกรธมากๆ ก็คือผมโดนกระบองตีที่หัวจากฝีมือของตำรวจ แน่นอนผมผิดหวังที่ตกรอบยูโรเปี้ยน คัพ แต่เจอแท็คติกโคตรแย่งของคู่แข่ง แถมไม่มีการทดเวลาเจ็บเลย และยังมาโดนใบแดงหลังจบเกมอีกต่างหาก แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมโดนทำร้ายจากด้านหลัง ด้วยฝีมือของไอ้ตำรวจเลวชาวตุรกี บางทีเราน่าจะกลับไปฟาดปากกันอีกซักครั้ง !"
นอกจากนี้ สตีฟ บรูซ ยังได้เปิดใจถึงความป่าเถื่อนของแฟนบอลกาลาตาซาราย ที่ขว้างก้อนอิฐใส่กระจกรถบัสแมนฯ ยูไนเต็ด โดยที่เฉียดหัวเขาไปนิดเดียว "ถ้ามันโดนเข้าที่หัวผมคงตายไปแล้ว นั่นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ขณะเดียวกันในช่วงที่กำลังเดินไปที่ห้องแต่งตัวของเรา ก่อนจะถึงผมเห็นตำรวจชก เอริก คันโตน่า ที่ด้านหลังศีรษะ"
คันโตน่า ไม่เคยห่างหายจากการตกเป็นข่าวทั้งสมัยที่ค้าแข้งในเมืองผู้จนกระทั่งแขวนสตั๊ดในปี 1997 ย้อนไปสองปีเมื่อเดือนมกราคม 1995 "ก็องโต" ได้สร้างวีรเวร "กังฟูคิก" แห่งตำนานที่กล่าวเอาไว้ในข้างตนและนำไปสู่การโดนแบนยาว 9 เดือน ก่อนหน้านั้นปีนึงเขาเคยได้ใบแดงในเกมพรีเมียร์ลีกติดต่อกันแมตช์พบ สวินดอน และ อาร์เซน่อล พร้อมกับถูกแบน 5 เกมมาแล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ คันโตน่า แต่เขาคือบุรุษที่สาวก "เร้ด อาร์มี่" บูชา ไม่ว่าจะสร้างเหตุการณ์ดีหรือร้าย กระนั้นชื่อของ "ก็องโต้" คือตำนานตลอดกาลสำหรับแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด