เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ เผยตัดสินใจย้ายออกจาก อาร์เซน่อล ในตอนที่ทราบว่ามีโอกาสเป็นตัวจริง 95 เปอร์เซนต์ไม่การันตีเต็มร้อย สำหรับเกมนัดเปิดซีซั่นพบกับ ฟูแล่ม
ผู้รักษาประตูชาวอาร์เจนไตน์ย้ายจาก อาร์เซน่อล ไปอยู่กับ แอสตัน วิลล่า ในซัมเมอร์นี้ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์และก็ยังมีผลงานน่าประทับใจ
เขาได้รับโอกาสเป็นตัวจริงช่วงที่ แบรนด์ เลโน่ บาดเจ็บหลังฟุตบอลกลับมาแข่งต่อในฤดูกาลที่แล้ว สุดท้ายก็ได้เฝ้าเสาต่อเนื่องและคว้าแชมป์เอฟเอ คัพกับคอมมิวนิตี้ ชิลด์ร่วมกับทีม
มิเกล อาร์เตต้า ต้องเจอกับเรื่องปวดหัวว่าจะส่งใครลงเฝ้าเสาในเกมนัดเปิดซีซั่น แต่พอ มาร์ติเนซ ทราบว่าโอกาสเป็นตัวจริงของเขาอยู่ที่ 95 เปอร์เซนต์ไม่เต็มร้อย เลยตัดสินใจในตอนนั้นว่าอยากจะออกไปพบกับความท้าทายใหม่
มาร์ติเนซ กล่าวกับ ดิ อินดิเพนเดนท์ ว่า "ผมคิดว่าผมเล่นดีนะในเกมนั้น (คอมมิวนิตี้ ชิลด์) ผมคงเป็นมือหนึ่งล่ะแต่พอหลังจากนั้นก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะเป็นตัวจริงในเกมลีก"
"ผมได้รับทราบว่าผมมีโอกาส 95 เปอร์เซนต์ที่จะเป็นตัวจริงเจอ ฟูแล่ม แต่ผมก็คิดว่า 'ทำไมไม่ 100 เปอร์เซนต์ล่ะ?' รู้สึกว่าบางสิ่งไม่ถูกต้องน่ะ"
"ทุกคนอยากให้ผมอยู่ต่อแต่นั่นเป็นตอนที่ผมตัดสินใจย้าย ผมไม่ได้โมโหหรือโศกเศร้านะ ผมรู้สึกภูมิใจ ตอนผมย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล น่ะมีผู้รักษาประตูขวางหน้าผม 9 คน ผม้ตองพิสูจน์ตัวเองทุกปีแต่ผมย้ายออกไปด้วยการเป็นมือหนึ่ง เรื่องราวของผมกับสโมสรจบลงตรงนั้น"
มาร์ติเนซ เซ็นสัญญาอาชีพหนแรกกับ "ปืนใหญ่" ในปี 2012 และผ่านการโดนปล่อยยืมตัวหลายหนกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่
เขาได้โอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องในช่วงท้ายฤดูกาล 2019-20 และนับจากนั้นมามือกาววัย 28 ปีก็เดินหน้าต่อไม่มีย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน
มาร์ติเนซ ทราบดีว่าจำเป็นต้องคว้าโอกาสในช่วงที่เขากำลังฟอร์มเยี่ยมและถ้า อาร์เซน่อล การันตีมือหนึ่งให้ไม่ได้ ก็เป็นเวลาที่ต้องย้ายทีม
"ท้ายที่สุดผมก็ได้เป็นมือหนึ่งและผมพร้อม ใช้เวลาถึง 10 ปีแน่ะกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ผมซ้อมการเป็นผู้รักษาประตูอยู่ทุกวัน แต่ไม่มีใครช่วยคุณซ้อมให้พร้อมเจอกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตหรอก"
"ไม่มีใครมาเทรนให้ว่าจะหัวเสียกับอะไร, ไม่มีใครมาเทรนให้ว่าต้องร้องไห้กับอะไร แล้วช่วงที่ไม่ได้ลงสนาม 4 เดือนล่ะ? จะเดินหน้าต่อไปหรืออารมณ์ของคุณตายด้านมั้ย?"
"หลายปีที่ผ่านมาผมอาจทำได้มากกว่านั้น แต่ท้ายที่สุดโลกก็เริ่มเห็นว่าผมทำอะไรได้ ผมจากไปด้วยดีและผมอยากให้มันลงเอยแบบนั้นมาตลอด"