ผมคิดว่า VAR ในอังกฤษเริ่มใช้ผิดวัตถุประสงค์ไปไกลกว่าที่เราเคยอยากมีมันมากขึ้นทุกทีแล้ว
เราต้องไม่ลืมว่าเสียงเรียกร้องในอดีตที่ต้องการให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการตัดสินเพราะในหลายๆจังหวะมันจะแจ้งแต่ผู้ตัดสินมองไม่ทันด้วยตาเปล่า
แต่ตอนนี้เรากำลังทำให้ฟุตบอลที่ใช้การปะทะกันของร่างกายถูกกำหนดผลแพ้ชนะด้วยปลายสตั๊ดสัมผัสโดยที่ผู้ได้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ในสถานะที่กำลังจะได้โอกาสทำประตูด้วยซ้ำ
ใช่ครับเกมที่ ไบรจ์ตัน เสมอ ลิเวอร์พูล มันทำให้คนในแวดวงลูกหนังหรือแม้กระทั่งนักเตะ “เจ้าถิ่น” (บางคน)ก็ยอมรับว่ามันไม่น่าใช่จุดโทษ
เป็นสิ่งที่กำลังถูกถกเถียงกันหนักมากในโลกออนไลน์ ทั้งแฟนบอลและเหล่ากูรู
น้ำหนักส่วนใหญ่มุ่งไปที่ minimal contact และ Soft penalty
ถ้าเราตั้งมาตรฐานการ contact แบบนี้ในกรอบเขตโทษผมว่ามีจุดโทษเกิดขึ้นทุกสนามในทุกสัปดาห์แน่นอนครับ
ปกติจุดโทษที่เกิดขึ้นในเกมฟุตบอลคือจังหวะได้เสียที่ผู้เล่นฝ่ายรุกอยู่ในตำแหน่ง “ได้เปรียบ” ในการยิง (เช่นกำลังจะแตะหนีหรือหนีหลุดไปแล้ว) และถูกฝ่ายรับที่เสียเปรียบในตำแหน่งเข้าขัดขวาง (เช่นตามหลังอยู่ 1-2 ก้าว)
ดังนั้นจังหวะเคลียร์ของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน กับ แดนนี่ เวลเบ็ค อยู่ในรูปแบบวิ่ง “บวก” ชิงจังหวะบอลโดยเป็นอดีตแข้ง อาร์เซนอล ที่แหย่ถึงบอลก่อน (ถ้ากางตำราจังหวะนี้ เวลเบ็ค ก็อาจถูกจับฟาว์ลข้อหาเปิดปุ่มใส่) แต่ไม่ได้ครอบครองบอลและไม่ได้เปรียบไม่ได้เอาบอลมาเล่นต่อใดๆ
ติ๊ต่างว่า “สายควัน” เตะไม่โดนจริงๆ เวลเบ็ค ก็เอาบอลมาเล่นไม่ได้ครับเพราะบอลที่แตะมันไปเข้าทางแบ็คทีมชาติสก็อตแลนด์ที่บังเอาไปเล่นต่อได้เลย
คือถ้าเราให้เคสนี้เป็นจุดโทษมันทำให้เราจะตอบกันยังต่อไปดีล่ะครับว่าการกอดรัดฟัดเหวี่ยงจังหวะลูกกลางอากาศหรือกระทั่งเตะมุมมันควรเป็นจุดโทษกันไหม
พอยต์หลักของมันคือต้องดูความได้เปรียบและเสียเปรียบในจังหวะนั้นๆครับ ไม่ใช่ดูภาพช้าว่าสตั๊ดใครสัมผัสบอลสตั๊ดใครโดนขาใคร
มันผิดวิสัยของเกมฟุตบอลไปแล้วครับ
ในบางสนามบางเกม contact กันจะแจ้งกว่านี้หวดเข้าที่หน้าแข้งซึ่งเป็นจังหวะที่ฝ่ายรุกครอบครองบอลอยู่กับเท้าด้วยซ้ำ VAR ยังอุตสาห์ overruled หน้าตาเฉย
สรุปแล้วเราก็กลับมาในระบบ manual คือดุลพินิจผู้ตัดสินอยู่ดีใช่ไหมครับ
ข้อสังเกตอีกอย่างคือผู้ตัดสินไม่เป่าให้จุดโทษตั้งแต่ทีแรกเป็นเพราะจากการเห็นด้วยตาเปล่ามันฟ้องว่าไม่มีอะไร ความได้เปรียบเสียเปรียบมันไม่ได้เกิดขึ้นใดๆ
บทความนี้อาจจะเหมือน bias เพราะความเป็นแฟน ลิเวอร์พูล ของผมมันติดตัวไปแล้ว
แต่มันยืนอยู่ในเหตุและผลซึ่งมันสอดคล้องกับคอมเมนท์ของ มาร์ค ฮัลซีย์ อดีตผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีกที่ทำหน้าที่มานานกว่า 14 ปีที่ผมมาเห็นข่าวนีั้หลังจากเขียนคอลัมน์มาได้ครึ่งนึงพอดี
แกย้ำชัดเจนว่า VAR ควรนำมาใช้ในจังหวะชี้เป็นชี้ตายมากกว่าหยุมหยิมแบบนี้ ผมขออนุญาตนำโคว้ทสำคัญมาอ้างอิงดังนี้
“ถ้าคุณลองดูเหตุการณ์ดังกล่าว, มันเป็นการทำฟาว์ลแบบโจ่งแจ้งชัดเจนถึงขนาดต้องใช้ VAR เข้ามาตัดสินเลยเหรอ?”
“อย่าลืมนี่มันกีฬาที่ใช้การปะทะของร่างกาย, ทุกๆการปะทะไม่ได้หมายความว่ามันต้องเป็นฟรีคิกหรือในเคสนี้คือจุดโทษเสมอไป มันเป็นการโดนแค่นิดหน่อยเอง”
ปีเตอร์ วอลเตอร์ อดีตเปาพรีเมียร์อีกคนก็ให้ความเห็นคล้ายๆกันครับ
“ผมคงต้องขอเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วแหละ”
“VAR ถูกเอามาใช้ในจังหวะที่มันเกิดขึ้นผิดพลาดที่ชัดเจน การที่มันมีการโดนตัวมันได้หมายความว่ามันต้องฟาว์ล”
“คุณเห็นชัดเจนว่ามันมีการโดนตัวก็เลยให้จุดโทษแต่พอยต์ที่ผมกำลังพยายามจะบอกคือมันควรเอา VAR มาใช้เพราะเรื่องนี้เหรอ? คุณควรตัดสินไปตามเกมของคุณสิ”
ครับ ถึงตอนนี้เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วและ “หงส์แดง” ก็เสียหายมากกว่า 2 แต้มที่หายไปคือ เจมส์ มิลเนอร์ เจ็บแฮมสตริงซึ่งทำให้ตอนนี้สำรองของตัวจริงก็เดี้ยงตามไปอีก
เป็นปัญหาที่ถาโถมเข้ามาทุกสัปดาห์และน่าจะส่งผลยาวแน่ๆเนื่องจาก เนโก้ วิลเลี่ยส์ แสดงให้เห็นแล้วว่ายังไม่พร้อมสำหรับชุดใหญ่ น้องเล่นยากและยังขาดความเข้าใจเกม
จังหวะที่ทำเสียจุดโทษผมร้องตะโกนว่า “อย่าไปทำฟาว์ลนะ!!” ตั้งแต่น้องแกเสียบอลนอกเขตแล้วติดเครื่องวิ่งไปจะแก้ตัว เป็นการวิ่งที่น่ากลัวมากๆ อารมณ์เด็กล้วนๆที่ต้องการไปแก้ตัวสิ่งที่ทำพลาด ยังดีที่จุดโทษลูกนี้ไม่เป็นประตู
คือตอนนี้น่าเห็นใจที่สุดก็คือ เยอร์เก้น คล็อปป์ นี่แหละครับ เตะกลางสัปดาห์จนตัวลีบ มาเกมนี้เตะไวคู่แรกอีก จะจัดตัวให้ถูกใจแฟนบอลก็ทำได้ไม่เต็มที่
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เพิ่งหายเจ็บซ้อมได้ไม่นานจะให้ลงตัวจริงเลยก็สุ่มเสี่ยง แผนจึงน่าจะเป็นใช้ทีมที่ฟิตกว่าลงไปจัดก่อน ได้ไม่ได้ยังไงยังค่อยยืมมือแก้เกมในครึ่งหลัง อย่างน้อยถึงตอนนั้นเพื่อนร่วมทีมก็นวดคู่แข่งจนลดพละกำลังลงไปบ้างแล้ว
แต่กระนั้น ไบรจ์ตัน รู้จุดอ่อนเรื่อง “ความสด” นี่แหละครับเลยเน้นเพรสสูงตั้งแต่ต้นเกมเพราะรู้ว่าแบ็คโฟว์ “หงส์แดง” ณ เวลานี้ไม่สามารถรับมือกับการถูกเพรสแบบนี้ได้แน่ๆ บอลจากแนวรับเลยค่อนข้างสเปะสปะเสียอย่างรวดเร็วแทบตั้งเกมอะไรไม่ได้เลย
แกรม พ็อตเตอร์ กุนซือน่าจะศึกษาเกมกับ อตาลันต้า จนรู้จุดอ่อนซึ่งนอกจากเพรสบนแล้วพวกสามประสานก็ถูกตามเกาะติดอย่างหนักจนเกมตื้ออยู่ราวครึ่งชั่วโมงของครึ่งแรก โชต้า, ซาลาห์ และ ฟีร์เมียโน่ ต้องถอยตัวเองลงมาเคาะบอล
และผมอยากให้เครดิตกับ “นกนางนวล” ด้วยเพราะทีมนี้เล่นเป็นระบบมาแบบนี้มานานแล้ว ขึ้นเกมสวยมีแบบแผน นักเตะเคาะบอลทำชิ่งกันไม่แพ้ทีมใหญ่แต่เพราะเกมรุกห่วย จบสกอร์แย่มากทำให้ผลงานไม่ไปไหนเตะ 10 นัดเพิ่งชนะไป 2 เกม
อีกจุดที่ ลิเวอร์พูล รับมือไม่ได้เลยคือการวางบอลยาวของ ไบรจ์ตัน ข้ามแดนกลางไปด้านหน้าแทบไม่มีออฟไซด์เลย ผิดกับตอนที่แบ็คโฟว์ตัวจริงอยู่กันครบเก็บออฟไซด์คู่แข่งนัดๆนึงเป็นสิบๆ
แถมน้องแนท ฟิลลิปส์ บางจังหวะไม่เช็กไลน์วิ่งไปตามกองหลังเค้าเลยถูกพาทัวร์ลิ้นห้อย ยิ่งเล่นกลาง “หงส์” ยิ่งหายโดยเฉพาะ มินามิโนะ เหมือนตัวแถม เล่นช้าโดนแย่งง่าย ทำให้เดอะ ค็อป รู้สึกว่านี่ขนาด ไบรจ์ตัน ยังเล่นไม่ออกแล้วจะไปเรียกฟอร์มนัดไหน
ด้วยความที่บาลานซ์ทีมไม่สมดุล ทางขวาขึ้นไม่ได้เลยครับ เป็นพื้นที่รับผิดชอบของ “ทากิ” และ “เนโกะ” ความบรรลัยจึงตกไปอยู่ที่ โม ซาลาห์
ซึ่งแกหัวเสียมากที่ถูกเปลี่ยนตัวออก หลายคนอาจจะคิดว่า “บังโม” เล่นไม่ออกเลยแต่พอทีมนำ 1-0 ผมว่าแกรู้สึกลึกๆว่ากำลังจะมีพื้นที่เล่นจากจังหวะสวนกลับก็เลยออกอาการตามที่เราเห็นกัน
เกมสำคัญนัดต่อไปของ ลิเวอร์พูล คือวันอังคารที่ 1 ธันวาคมในรายการแชมเปี้ยนส์ลีกกับ อาแยกซ์ ในแอนฟิลด์
จากการที่แพ้ อตาลันต้า คาบ้าน ทำให้ 3 เกมที่ชนะรวดยังพอส่งผลบุญอยู่บ้างเพราะเกมนี้ JK ขออย่างน้อย 1 แต้มเพื่อเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ในเกมสุดท้ายกับ มิดทิลแลนด์
ปัญหานักเตะเจ็บนับไม่ถ้วน, โควิด, กฏการเปลี่ยนตัวและต้องมาคอยสู้รบกับ VAR เกือบทุกสัปดาห์
เป็นซีซั่นที่สุดๆแล้วครับสำหรับ “แชมป์เก่า”