การเอาชนะนอกบ้านถึง 5 นัดรวดและเป็นการตามหลังทั้งหมดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆครับ
แต่ทั้งหมดทั้งมวล เวสต์แฮม ให้การช่วยเหลือเปิดช่องให้ “ปีศาจแดง” นับตั้งแต่ขึ้นนำ 1-0
การหลุดเดี่ยวโล่งๆและหลบผู้รักษาประตูไปแล้วของ เซบาสเตียน ฮัลแลร์ แต่เข่าอ่อนในครึ่งแรก
ไล่ไปจนถึงการชาร์ตหลาเดียวในครึ่งหลังไม่เข้าของ จาร์ร้อด โบเว่น
ล้วนแล้วคือจุดที่จะทำให้ ยูไนเต็ด กลับมายากกว่าเกมพบ เซาธ์แฮมตัน เมื่อสัปดาห์ก่อน
2-0 กับ 1-0 ส่งผลอย่างมากในแง่ของรูปแบบการเล่นและสภาพจิตใจ
ครึ่งแรกคือการเล่นที่บัดซบสุดๆของลูกทีม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ถึงขนาดที่ว่า ปาทิซ เอฟร่า อดีตแบ็คซ้ายของทีมพูดในรายการของ สกาย สปอร์ตส์ว่า “ภาวนาให้ผู้ตัดสินเป่าจบครึ่งแรกซักที”
ครับแฟนผีก็คิดตามนั้นเพราะสภาพดูไม่จืดยิ่งเล่นยิ่งอาการหนัก นักเตะทั้งหน้าและกลางถูกตามเกาะติดเป็นกาฝาก ใครได้บอลจะมีตัวประกบเข้าถึงแซะทันที
เอดิสัน คาวานี่, เมสัน กรีนวู้ด และ อองโตนี่ มาร์กซิยาล หันหลังเล่นบอลตลอดทำให้เลิกคิดไปได้เลยครับว่าจะเอาเวลาที่ไหนไปพลิก
หลัง 3 ตัวของ “ขุนค้อน” และมีอีก 4 กลางที่คอยมาช่วยอีกชั้นส่วนแนวรุกก็ไปตามขยี้ไล่บอลตั้งแต่กลางสนาม เจอแบบนี้ทีมเยือนกว่าจะได้โอกาสยิงเข้ากรอบหนแรกของ ป็อกบา ก็เกือบจบครึ่งแรกด้วยซ้ำ
3 ตัวบนต้องทิ้งตำแหน่งลงมาเล่นกับบอลต่ำในหลายๆหนเพราะแดนกลางก็ถูกเล่นงานด้วยรูปแบบเดียวกัน
ลักษณะการเล่นของ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์, ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค รวมถึง พอล ป็อกบา แทบไม่มีใครลืมตาอ้าปากกับการแท็คติกเพรสและตามติดแบบนี้ของ มอยส์ เลย
เมื่อสกอร์ตามหลังและรูปเกมที่อาการหนักเราจึงได้เห็นการเปลี่ยนตัวไวทันทีตั้งแต่พักครึ่งของ โอเล่ ด้วยการส่งทั้ง บรูโน่ แฟร์นานเดซ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด มาแทน คาวานี่ และ ฟาน เดอ เบค
การจะแก้ลำการถูกเพรสคือต้องออกบอลจังหวะเดียวให้ไวครับ ถ้าใช้วิธีจ่ายบอลให้เพื่อนแบบปกติก็จะถูกตัวประกบตามมา
แล้วจะออกให้ไวได้ก็ต้องตาสัปปะรด มองเพื่อนไว้ก่อนด้วยซึ่ง บรูโน่ แกมีเซนส์ทางนี้อยู่แล้ว
เราจะเห็นว่าลูก 3-1 ของ แรชฟอร์ด ก่อนที่ มาต้าจะแทงทะลุเป็น บรูโน่ ที่ปาดจังหวะเดียวทันที ทำให้ตัวประกบที่ปรี่เข้าหาแข้ง โปรตุกีส ก็ไร้ความหมายทันที
อย่างไรก็ตามประเด็นกังขาที่หลายคนมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเกมคือลูกตีเสมอสุดสวยของ พอล ป๊อกบา ว่าสรุปแล้วก่อนหน้านั้น ดีน เฮนเดอร์สัน ผู้รักษาประตูเตะสาดยาวขึ้นมานั้นออกข้างไปหรือยัง
โชคร้ายของ “ขุนค้อน” ที่ VAR มุมนี้ดันไม่มีและ ยูไนเต็ด ได้รับประโยชน์ไป
แต่ถ้าคนที่เตะบอลบ่อยๆน่าจะรู้ว่าการที่คุณ “ปั่นไซด์” ด้วยความแรงแบบนั้นการโค้งของบอลจะยิ่งมาก
ดังนั้นการที่บอลตกห่างจากเส้นข้างเพียงแค่หลาเดียวมันจะต้องเผื่อออกขวาไปอีกอย่างน้อย 1.5 - 2 หลาถึงจะเลี้ยวเข้ามาเฉียดเส้นแบบนั้น
ในทางกลับกันด้วยความแรงเท่าเดิมถ้าจะให้สมมุติฐานมีน้ำหนักว่า “ไม่ออก” จุดที่บอลตกควรจะหุบห่างจากเส้นข้างเข้าไปมากกว่านี้
สังเกตภาพช้าจะเห็นว่าบอลเหลื่อมๆลอยเฉียดหัว เดวิด มอยส์ ไปด้วยซ่้ำและ เฮนเดอร์สัน เจตนาคือเคลียร์บอลเลี่ยงการติดบล็อกของตัวที่วิ่งเข้ามาจึงต้องพยายามให้เบี่ยงไปทางขวาไว้ก่อน
ส่วนไลน์แมนที่เป็นคนเดียวที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะสามารถบอกได้ว่าลูกนี้ออกหรือไม่ออกแต่แกดันหันหลังวิ่งเพราะต้องควบให้ทันไลน์แนวรับกับแนวรุก
อันนี้ผมพูดถึงการ “ปั่นไซด์” นะครับ ถ้า “หลังเท้า” บอลจะพุ่งย้อยเป็นเส้นตรง จุดที่ออกจากเท้ามายังไงก็ตามทิศทางเดิมของมัน
อย่างไรก็ตามอย่างที่บอกไปครับเมื่อมีแค่ทฤษฏีไม่มีหลักฐานและ VAR ไม่มีมุมนี้ “ปีศาจแดง” มีหน้าที่เล่นต่อและฟังคนที่มีอำนาจตัดสินเด็ดขาด
ซึ่งจะว่าไปแล้วต่อให้ไม่มีประตูนี้ผมก็ยังเชื่อว่า “ขุนค้อน” น่าจะโดนไม่ช้าก็เร็วเพราะการมีอยู่ของ บรูโน่ ทำให้ทีมเยือนมีมิติในการเข้าทำน่ากลัวเหลือเกิน
ดังนั้นการได้ประตูที่ 2 หลังตีเสมอแค่ 3 นาทีเป็นข้อตอกย้ำประโยคข้างต้นได้เป็นอย่างดี
จริงๆอดีตแข้ง สปอร์ตติ้ง ลิสบอน ควรจะได้อีกแอสซิสต์ด้วยซ้ำถ้า แรชฟอร์ด ไม่ยิงบดหลุดเสา เป็นการแทงทะลุที่น้ำหนักอย่างโหด
การลงสนามพร้อมๆ บรูโน่ ของ “แรช” ก็สร้าง speed ให้ทีมมีอาวุธเข้าทำเพิ่มขึ้นเพราะจากที่เราเห็นจากครึ่งแรกมีหลายครั้งที่ คาวานี่ กับ เตลเลส ได้ขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายแต่ต้องจ่ายคืนหลังอยู่บ่อยครั้ง
ผมยังเห็นแฟน “ปีศาจแดง” กล่าวขอบคุณที่ อันโธนี่ มาร์กซิยาล เสียสละยอม “เจ็บ” จน ฆวน มาต้า ได้ลงเล่นแทนและ “แอสซิสต์” ให้ แรช ยิงปิดกล่อง 3-1
เพราะ “หมาก” หมดแล้วครับ ยิ่งเล่นเหมือนไม่มีอะไรเลย ปกติก็เสียบอลง่าย ไล่ก็ไม่ค่อยไล่ถ้าไม่เจ็บไม่รู้ มาต้า จะได้ลงตอนไหน
ลูกของ กรีนวู้ด ต้องบอกว่าเทคนิคเหลือแดกจริงๆครับ จับบอลซ้ายให้เข้าเหลี่ยมยิงจนตัวประกบช้าไปทันที 1 ก้าว เห็นการพลิกและหมุนตัวยิงแบบนี้อดนึกถึง โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ ไม่ได้จริงๆ
จากการเอาชนะ 4 นัดรวดหลังแพ้ อาร์เซนอล เมื่อวันที่ 1 พย. ทำให้ตอนนี้ ยูไนเต็ด ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4 ตามหลัง “จ่าฝูง” 2 แต้ม
เป็นการพลิกสถานการณ์จากที่ติดหล่ม “วนลูป” มานานนับเดือนได้อย่างเหลือเชื่อ
ทั้งหมดทั้งมวลต้องบอกว่า บรูโน่ แบกหนักจริงๆครับ การมีและไม่มีจอมทัพทีมชาติ โปรตุเกส ณ เวลานี้แตกต่างจนเป็นคนละทีม
แล้วความแรงของทั้ง ยูไนเต็ด และ บรูโน่ จะได้พิสูจน์ไปพร้อมๆกันเมื่อเสาร์หน้าต้องทำศึกดาร์บี้แมทช์กับทีมที่กำลังติดเครื่องเหมือนกันอย่าง แมนฯซิตี้
เมื่อพิจารณาจากฟอร์มและความคะนองของคู่นี้ต้องบอกว่าคู่คี่และคาดเดาลำบากจริงๆครับ
ปัญหาเดียวที่ผมมองว่า “ปีศาจแดง” เสียเปรียบคือเล่นใน โอลด์แทรฟฟอร์ด นี่แหละครับ...