ลิเวอร์พูล ยังคงน่าเกรงขามเมื่ออยู่ในแอนฟิลด์ โดยพวกเขาสามารถดับซ่า ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้สำเร็จด้วยสกอร์ 2-1 ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ตอนนี้ "หงส์แดง" โบยบินขึ้นมารั้งจ่าฝูงแบบข้ามาคนเดียวเรียบร้อยแล้ว
เกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเจอกับเรื่องปวดหัวเมื่อ โฌแอล มาติป ไม่ฟิต และต้องเลือกใช้งาน ริส วิลเลี่ยมส์ ยืนประจำการเกมรับร่วมกับ ฟาบินโญ่ ซึ่งนักเตะก็ทำได้ดีเยี่ยม ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ ต้องบอกว่าฟอร์มการเล่นพัฒนาขึ้นสุดๆ และกำลังจะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนในแดนกลางที่สำคัญของทีม
ขณะที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เลือกใช้แท็กติกรถบัสโดยเน้นเกมเพลย์เซฟ และพวกเขาก็ทำได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะในครึ่งหลัง สเปอร์ส มีโอกาสที่จะจบสกอร์สองถึงสามครั้ง แต่พวกเขาดันขาดความเฉียบคม ขณะที่ ซน ฮึน มิน ต้องบอกว่าฟอร์มเด็ดที่สุดของทีมเยือน เพราะความเร็วความแข็งแกร่งของเขาสร้างปัญหาให้เกมรับเจ้าบ้านอย่างมาก
1. วิลเลี่ยมส์ พร้อมสำหรับเป็นตัวจริงแล้ว ?
ต้องบอกเลยว่าการที่ โฌแอล มาติป ไม่สามารถลงสนามได้ในเกมรับมือ สเปอร์ส ถือเป็นเรื่องเสียหายหลายแสนสำหรับ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะการที่ คล็อปป์ ตัดสินใจใช้งาน ริส วิลเลี่ยมส์ ยืนตัวจริงคู่กับ ฟาบินโญ่ ถือว่าเสี่ยงมากๆ เนื่องจากเกมรุกของทีมเยือนในเวลานี้ดุดันเหลือเกิน
คล็อปป์ เลือกที่จะไม่ใช้งาน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงไปเยือนเซนเตอร์แบ็ก เพราะอาจทำให้แดนกลางของทีมมีช่องโหว่ โดยแมตช์นี้ถือเป็นบททดสอบชั้นดีสำหรับ "เจ้าหนูรีส" เมื่อเขาต้องรับมือกับ แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึน มิน รวมไปถึงบรรดาผู้เล่นเกมรุกของ "ไก่เดือยทอง" ที่กำลังพกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า
อย่างไรก็ตามต้องบอกว่า วิลเลี่ยมส์ โชคดีพอสมควรที่ มูรินโญ่ เลือกใช้แผนการเล่นที่เน้นความรัดกุม ไม่ได้เปิดเกมบุกเต็มตัวทำให้ คู่กองหน้าอย่าง เคน กับ "อาซน" ไม่ค่อยได้แสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ส่วนในจังหวะที่โดนตีเสมอ ถือเป็นบทเรียนที่ ดาวเตะวัย 19 ปี จะได้เรียนรู้ในการอ่านไลน์ล้ำหน้า แต่จะโทษนักเตะซะทีเดียวก็ไม่ได้ ต้องชม "วีเออาร์" ที่แม่นยำเหลือเกิน จึงทำให้จังหวะนี้ สเปอร์ส ได้ประโยชน์
ขณะที่ในครึ่งหลัง วิลเลี่ยมส์ โดนทดสอบอย่างหนักจาก สตีเว่น เบิร์กไวจ์น ที่มีโอกาสหลุดไปยิงประตู และเกือบทำสำเร็จแต่เดชะบุญที่ดันแม่นเสาไปหน่อย !! ขณะที่ในส่วนการเล่นลูกกลางอากาศนักเตะก็ทำได้ดีสามารถเก็บกินเรียบวุธ มีบางครั้งยังโชว์ทักษะการเปิดบอลยาวที่แม่นยำซะด้วย ดังนั้นต้องบอกว่าเจ้าหนูคนนี้สอบผ่านในการเล่นเกมใหญ่ที่สุดเต็มเครียด และเป็นไปได้ที่เกมต่อไปหาก มาติป ยังไม่ฟิต เขาคงจะได้ยืนคู่กับ ฟาบินโญ่ อีกครั้ง
2. แท็กติกเน้นปลอดภัยทำให้พลาดโอกาสทอง
แน่นอนว่าทุกๆ คนรู้อยู่แล้วว่า มูรินโญ่ จะจัดเตรียมแบบไหนในการสู้กับ ลิเวอร์พูล ที่สนามแอนฟิลด์ เพราะเขาเชื่อว่าระบบการเล่นแบบเน้นความปลอดภัย และรอจังหวะผิดพลาดของคู่แข่ง จะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ สเปอร์ส ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ
ในครึ่งแรกแฟนบอลเห็นได้อย่างชัดเจนว่า "ไก่เดือยทอง" เล่นอย่างรัดกุม และไม่ปล่อยให้แนวรุกเจ้าบ้านได้เข้ามาสร้างความหวาดเสียวในกรอบเขตโทษ โดยงานนี้ "เฮียมู" แฮปปี้ที่จะให้ ลิเวอร์พูล ได้ครองบอลเหนือกว่า (เหมือนเกมที่ชนะ แมนฯ ซิตี้) และเลือกตั้งรับลึก จากนั้นก็รอคอยฉกฉวยโอกาส
หลังจากที่พวกเขาต้องตกเป็นรอง "หงส์แดง" ในช่วงนาทีที่ 25 แท็กติกของ มูรินโญ่ จำเป็นต้องเปลี่ยน และนั่นหมายความว่าจะเป็นโอกาสของ ลิเวอร์พูล ที่ได้เล่นในเกมถนัดมากขึ้น เพราะคู่แข่งจะเริ่มหันมาเปิดเกมบุกเพื่อเอาประตูตีเสมอให้ได้ และในที่สุดก็ทำสำเร็จจาก "อาซน" ซึ่งมาจากการเล่นสวนกลับที่แม่นยำของพวกเขา
จริงๆ แล้วเกมรุกของสเปอร์ส สามารถขู่ "เดอะ เร้ดส์" ได้ตลอดโดยเฉพาะในครึ่งหลัง พวกเขาสร้างโอกาสได้หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าทีมชุดนี้มีดีมากกว่าที่ มูรินโญ่ คาดคิด และน่าจะเลือกใช้การเล่นที่เน้นเกมรุกมากยิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่า ลิเวอร์พูล ต้องเจอกับความยากลำบากในการรับมือกับการวิ่งขึ้นกดดันสูงของ สเปอร์ส ในช่วงครึ่งหลัง แต่มันน่าเสียดายที่ มูรินโญ่ ดันยึดติดกับแท็กติกที่เน้นการเล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน สุดท้ายพวกเขาต้องกลับบ้านมือเปล่า ลองคิดดูก็แล้วกันหาก "เฮียมู" กล้าเล่น งานนี้เจ้าบ้านอาจน้ำตาร่วงก็ได้
3. ยิงทิ้งยิงขว้างอย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าหากแฟนบอลอยากเห็นทีมแรกที่สามารถบุกมาชนะในแอนฟิลด์ นับตั้งแต่ปี 2017 แน่นอนว่าสโมสรนั้นจะต้องเป็นทีมที่ไม่ใช้โอกาสเปลือง พูดง่ายๆ ก็คือหากมีจังหวะสังหารต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งในเกมนี้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ดันทำไม่ได้เอง
สเปอร์ส อาจจะเน้นการเล่นปลอดภัยไว้ก่อนในครึ่งแรก ทำให้เกมรุกของพวกเขาไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก ยกเว้น "อาซน" ที่แสดงให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเขาเป็นนักเตะระดับโลก และความเร็วผสมกับความนิ่งของ หัวหอกชาวเกาหลีใต้ ถือเป็นองค์ประกอบของยอดนักเตะ
ประตูตีเสมอของ ดาวยิงเลือดโสมขาว เต็มไปด้วยความเยือกเย็น และกล้ามากๆ ซึ่งการซัดบอลผ่านมือ อลีสซง เบ็คเกอร์ หนึ่งในผู้รักษาประตูที่เหนียวที่สุดในโลก ยิ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักเตะมากยิ่งขึ้น ขณะที่ในครึ่งหลัง สเปอร์ส กลับมาเล่นด้วยฟอร์มที่โดดเด่นกว่าเจ้าบ้านในช่วงต้นเกม
สเปอร์ส สามารถไล่กดดัน ลิเวอร์พูล อย่างหนักด้วยการเปิดเกมรุกที่ดุดัน และสร้างโอกาสในการทำประตูได้หลายครั้ง โดยเฉพาะสองจังหวะของ เบิร์กไวจ์น ที่ยิงแป๊กออกข้างและซัดไปชนเสา รวมไปถึงจังหวะของ เคน ที่หลุดไปยิงโล่งๆ ระยะ 6 หลา แต่ดันซัดออกเสาไกลอย่างน่าเหลือเชื่อ
สิ่งนี้ถือเป็นจุดเสียหายของ สเปอร์ส อย่างแท้จริงๆ เพราะหากพวกเขาสามารถซัดประตูจากโอกาสที่สร้างขึ้นมาได้ในครึ่งหลัง เกมนี้ทีมที่น้ำตาตกคงเป็น คล็อปป์ แอนด์ โค. ที่สำคัญสถิติไม่แพ้ใครในแอนฟิลด์ คงหยุดอยู่ที่ 65 เกมแหงๆ.....แต่สุดท้ายมันไม่เกิดขึ้น
4. โจนส์ ยิ่งเล่นยิ่งพัฒนา
ตอนนี้ คล็อปป์ ได้กองกลางชั้นดีเพิ่มขึ้นอีก 1 คนนั่นก็คือ เคอร์ติส โจนส์ ซึ่งฟอร์มการเล่นในครึ่งแรกของเขาต้องบอกเลยว่าสุดยอดเกินห้ามใจ โดยเขาแสดงให้เห็นถึงทักษะชั้นยอดทั้งการครองบอลที่เหนียวแน่น และการผ่านบอลที่แม่นยำ รวมทั้งยังเล่นด้วยการมั่นใจอย่างมาก
โจนส์ พัฒนาฝีเท้าจนตอนนี้แทบจะเป็นเหมือนนักเตะสไตล์โฮลดิ้ง มิดฟิลด์ เพราะแมตช์นี้เขาทำหน้าที่คอยพักบอล และยังเดินเครื่องเชื่อมเกมได้อย่างเนียนตา นอกจากนี้ยังมีทีเด็ดในการลากเลื้อยเข้าไปในพื้นที่อันตราย และมีส่วนกับประตูแรกที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงให้ทีมขึ้นนำ
แม้ว่าจังหวะดังกล่าวจะไม่ได้ถูกบันทึกให้เป็นการแอสซิสต์ แต่จังหวะนั้นหากไม่ได้เขาก็ไม่มีทางที่จะเป็นประตู ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะสถิติในเกมนี้ยังแสดงให้เห็นว่า โจนส์ เป็นผู้เล่นที่สำคัญกับทีมมากๆ โดยในครึ่งแรกเขาผ่านบอลสำเร็จถึง 62 ครั้งมากกว่านักเตะทุกคนในสนาม และผ่านบอลได้อย่างแม่นยำ 93 เปอร์เซนต์ แถมมีแค่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คนเดียวที่สัมผัสบอลมากกว่าเขา
ตอนนี้ โจนส์ อายุเพียง 19 ปีเท่านั้น แต่ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ไปแล้ว 29 แมตช์ ซึ่งแน่นอนว่าเขากำลังอยู่ในช่วงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ที่สำคัญฟอร์มการเล่นของนักเตะยังมีอิทธิพลกับเกมด้วย ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะมีอนาคตสดใสรออยู่ ดีไม่ดีหากทีมไหนอยากได้ตัวอาจต้องควักกระเป๋าเกือบ 80 ล้านปอนด์ เลยทีเดียว.....ก็แหมฟอร์มบรรเจิดซะขนาดนั้น
5. สามประสานกลับมาแล้ว
เกมนี้ต้องบอกว่า ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปั่นป่วนเกมรับของ สเปอร์ส แม้หลายคนอาจจะมองว่าพวกเขาไม่สามารถเจาะเข้าไปสร้างโอกาสในกรอบเขตโทษได้มากนัก แต่ทุกครั้งที่ "หงส์แดง" เปิดเกมบุก ทีมเยือนต้องวิ่งมาเล่นเกมรับเกือบทั้งทีม ซึ่งทำให้เวลาที่พวกเขาจะสวนกลับ จึงทำได้ไม่ค่อยแม่นยำ
"โม ซาลาห์" ที่จัดการเบิกประตูให้ทีมขึ้นนำ แสดงให้เห็นความมทุ่มเทในการเล่นที่น่าเหลือเชื่อมากๆ เขาวิ่งพล่านไปทั่วสนาม พร้อมที่จะวิ่งลงไปในแดนกลางเพื่อล้วงบอล ที่สำคัญ "คิง ออฟ อียิปต์" ยังทำได้ดีเยี่ยมไม่ว่าจะตอนมีบอลหรือไม่มีบอล พูดตรงๆ หากเป็นวันของ ซาลาห์ เกมนี้เขาคงมีชื่อทำประตูที่สองแหงๆ
สำหรับ มาเน่ อาจจะดูเหมือนโดน แซร์ช โอริเย่ร์ ไล่ตามปะกบแบบหายใจรดต้นคอ และแทบทำอะไรไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามนักเตะยังคงมุ่งมั่นทำงานหนักและค่อยๆ เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ในครึ่งหลัง สิ่งที่น่าเสียดายในเกมนี้ก็คือ สตาร์เซเนกัล ไม่มีชื่อยิงประตูเท่านั้น
ขณะที ฟีร์มีโน่ ต้องบอกเลยว่าวันนี้ฟอร์มแจ่มจรัสดีแท้ โดยเขามีโอกาสสองครั้งที่จะทำประตู แต่โดน อูโก้ โยริส เซฟเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตามฟอร์มโดนรวมของ สตาร์ลูกหนังเลือดแซมบ้า ถือว่าดีเยี่ยม โดยเฉพาะจังหวะการสัมผัสบอลแรกที่เนียนตา, การเชื่อมเกม และการเคลื่อนที่หาตำแหน่ง ซึ่งบทสรุปของฟอร์มยอดเยี่ยมก็คือรางวัลการโหม่งประตูชัยในนาทีสุดท้าย
ทอมเม้ง