ความตลกของการเชียร์ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้คือเกมไหนที่คิดว่าหนักกลับง่ายส่วนเกมที่มองว่าแบเบอร์ดันเกือบแพ้
ชนะ เลสเตอร์ 3-0 ทั้งที่คาดกันว่าโดนตัดแต้มแน่ๆ, เสมอ ไบรจ์ตัน 1-1 มีโอกาสปิดเกมแต่ทำไม่ได้, ชนะ วูลฟ์ 4-0 บอลเขี้ยวหลังเหนียว, เสมอ ฟูแล่ม 1-1 ทีมแจกแต้มช่วงต้นซีซั่น และล่าสุดก่อนเกมหลายคนเชื่อว่าอาจถึงแพ้แต่ทุกๆโอกาสเป็นประตูเกือบทั้งหมดก่อนบุกถล่ม คริสตัล พาเลซ 7-0
ผมเชื่อว่า เดอะ ค็อป ทุกคนรู้สึกเหมือนกันหลังสิ้นสุดเกมคือฝันร้ายและตราบาปที่แพ้ แอสตัน วิลล่า จนนอนกันไม่หลับไปหลายวัน (ส่วนผมหนีไป บึงกาฬ ฮา) ด้วยสกอร์ 7-2 เมื่อต้นเดือนตุลาคมได้ถูกชดเชยแบบไปกลับเรียบร้อยแล้ว
ความคล้ายคลึงกันระหว่างเกมที่ วิลล่า พาร์ค และ เซลเฮิร์ต พาร์ค คือทีมนึงมีโอกาสแต่ยิงยังไงก็ไม่เข้า (ละไว้ในฐานที่เข้าใจกับเกม 7-2 “หงส์” โอกาสไม่น้อยแต่ยิงได้แค่ 2 ลูก) ในขณะที่อีกทีมง้างตีนเหมือนบอลจะถูกดูดเข้าไปในตาข่ายแทบทุกลูก
ต่างกันตรงเกมที่ วิลล่า นั้นบอลที่เข้าแฉลบซะส่วนใหญ่ส่วนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา “แชมป์เก่า” มีความ “เด็ดขาด” เกินมาตรฐานตัวเองจนเราสัมผัสได้ว่าทุกครั้งที่บุกขึ้นมายังไงเดี๋ยวได้จบแน่ๆ
ฟุตบอลบางทีมันก็แปลกประหลาดเพราะเอาจริงๆ พาเลซ ไม่ได้เป็นรองเลยแม้กระทั่งตอนที่โดนไปแล้ว 1-0
แผนที่ รอย ฮ็อดจ์สัน กุนซือ “ปราสาท” ใช้ไม่ต่างกับ สเปอร์ส ของ โจเซ่ มูรินโญ่ เท่าไหร่ นั่นคือทั้ง 2 คนปล่อยให้ “หงส์แดง” ครองบอลไปเลยแล้วถอยโซนไปตั้งรับไม่เพรส
แผนนี้อย่างที่ผมเคยบอกครับซื้อใจเกมรับและฝากทีเด็ดในความเร็วของแนวรุก
“ไก่เดือยทอง” จะใช้การวางบอลที่แม่นยำของ แฮร์รี่ เคน จากกลางสนามแล้วใช้ความไวของ ซน เฮือง มิน วิ่งทะลุไลน์ล้ำหน้าที่ดันมาเกือบครึ่งสนาม
แต่ พาเลซ จะเน้นไปที่ริมเส้นเพราะมีตัวปีกธรรมชาติเยอะทั้ง วิลเฟร็ด ซาฮา, จอร์แดน อาร์ยิว, เจฟฟรี่ย์ ชลุปป์ และ เอเบเรชี่ เอเซ่
พื้นที่ความอันตรายในการสวนกลับระหว่างเน้นตรงกลางของ สเปอร์ส กับ พาเลซ (ริมเส้น) จึงมีรายละเอียดต่างกันนิดหน่อยแต่กลายเป็นทีมเยือนรับมือยากกว่าเพราะแข้งสาย speed เยอะจนไม่รู้จะจับใคร
แต่เราทราบกันดีว่าทีมที่เล่นกับ ลิเวอร์พูล ถ้าวัดใจตั้งรับและรอสวนคุณต้อง “เป๊ะ” และ “ชัวร์” เพราะกลาง “หงส์แดง” ตอนนี้แน่นมาก ถ้าจะไล่แบบ “ประปราย” ไม่ทั้งทีมยังไงไม่มีทางได้บอลจาก เฮนโด้ หรือ ซีดุม แน่ๆครับและทุกๆครั้งที่ “แชมป์เก่า” เสียบอลคุณจะถูกรุมทันที
แต่ถ้าเพรสหนักๆ กลางตามเกาะ หลังติดแนวรุกก็จะเหมือน 30 นาทีแรกที่ ฟูแล่ม เหนือกว่าชัดเจน ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละทีมมีอาวุธไม่เหมือนกันจะให้เล่นเหมือนกันหมดตามสั่งคงเป็นไปไม่ได้
วันนี้แฟนบอล “หงส์แดง” น่าจะดีใจกับ ทากูมิ มินามิโนะ ที่อาจเห็นชื่อตัวจริงแล้วยิ่งไม่มั่นใจ การประเดิมยิงประตูแรกให้ทีมและตัวเองเป็นอะไรที่อาจเป็นจุดเปลี่ยน
แต่ถ้าคำว่าจุดเปลี่ยน ตัวนักเตะต้องปรับสไตล์ให้เข้ากับระบบและเพื่อนด้วยครับเพราะเท่าที่ดูแข้งแดนอาทิตย์อุทัยยังยืนตำแหน่งไม่ค่อยดี ไม่ค่อยพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เพื่อนพร้อมจ่ายให้
วันนี้ยิงได้ควรใช้ความมั่นใจกล้าเล่น ผมเห็นบางทีไม่กล้าเก็บบอลไปวิ่งข้ามเสียของ คือตอนนี้ศักยภาพตัวรุกหรือกระทั่งแดนกลางของ ลิเวอร์พูล ทะลุกราฟไปไกลแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยครับที่การเล่นดาดๆไร้จุดขายจะทำให้คุณเบียดตัวหลักไปนั่งสำรอง
“ทากิ” ควรฉายแววเวลาเจอทีมระดับกลางตารางหรือในบอลถ้วยให้ได้ก่อนเป็นอย่างแรกหรืออย่างน้อยๆควร “นิ่งกับบอล” เพื่อที่จะได้ build up เกมของตัวเอง คงได้แต่หวังว่าการปลดล็อกประตูแรกจะช่วยนับ 1 ให้ตัวเอง
แม้ ลิเวอร์พูล นำเร็วแต่รูปเกมไม่ได้เหนือกว่าอะไรเลยนะครับ แต่เป็น พาเลซ เองที่ทิ้งโอกาสทำลาย “ขวัญ” ของทีมเยือนในจังหวะที่น่าจะตีเสมอ 1-1 หาก อาร์ยิว นิ่งและละเอียดกว่านี้ส่วน ซาฮา ควรอ่านเกมและเลือกยืนรอ tap in มากกว่าจะวิ่งเลยไปในจุดที่ โจเอล มาติ๊ป บังทางไว้อยู่แล้ว
ความรู้สึกของ เดอะ ค็ออ หลังเห็นเจ้าถิ่นไล่บี้อยู่พักใหญ่ๆคือสูตรแบบนี้ไม่น่าแคล้วโดนตีเสมอแล้วโดนแซง
ความโชคดี(เล็กๆ) ของ ลิเวอร์พูล คือช่วงหลัง อาร์ยิว ฟอร์มไม่ดี ถ้าวันนี้ คริสเตียน เบนเตเก้ อดีตเด็กเก่าไม่ติดโทษแบนไม่ได้ลงตัวจริงแน่นอน
อีกจุดนึงที่ทำให้ “หงส์แดง” เครื่องฟิตสต๊าร์ตติดง่ายคือ โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่ โคตรเอา ความมั่นใจมาเต็ม ลูกจ่ายให้ ซาดิโอ มาเน่ อันนั้นโอเคไม่ได้ kller pass อะไรเพราะพี่ ณ เดชแกใช้ skill ของแกเอง
แต่ลูก 3-0 มี “บ๊อบบี้” คนเดียวที่เล่นได้ครับ ให้คนอื่นมายืนผมว่าไม่คืนหลังก็ถูกดีเลย์ซึ่งจุดเด่นของแกที่ผมชอบคือเล่นบอลง่ายและสามารถพลิกบอลจากหันหลังในจุดที่ “เสียเปรียบ” เปลี่ยนเป็นหันหน้า “ได้เปรียบ” นี่แหละครับ
ทำให้จังหวะนี้จากตั้งรับอยู่ดีๆกลายเป็นสวนกลับต่อบอล 2 จังหวะและเป็น “โน่” มาสานต่องานที่ตัวเองเริ่มเอาไว้
ความมั่นใจพอมีแล้วลูกยากๆชิพมุมแคบ 5-0 ก็กลายเป็นง่ายซึ่งแตกต่างจากหลายๆเกมก่อนหน้านี้ยิงจ่อๆ 2-3 หลายังไม่เข้า
ส่วนดราม่าเล็กๆขี้ประติ๋วของ มาเน่ อันนี้บอสแกไม่ติดใจอะไรซึ่งเข้าใจได้ไม่ยากครับเพราะ “หงส์แดง” นำห่าง 4-0 ทำให้ ณ เดช แกคิดว่ากำลังจะมีพื้นที่เล่นโอกาสยิงเบิ้ลสูงแน่ๆเนื่องจากเจ้าถิ่นต้องดันสูงตามแท็คติกส์
พูดกันตามตรงครึ่งแรกที่แกยิงได้ก็แนวรับยืนกันแน่น แล้วก็เล่นทางขวาเลยดูติดๆขัดๆแถมอารมณ์ค้างตอนเจอ สเปอร์ส แทบไม่มีพื้นที่เล่นเลยกะจะมาปล่อยของช่วงเวลาที่เหลืออีก 30 นาที
พอ “โม” ยิง “โน่” ยิง กล้องก็เสี้ยมจับภาพตลอด ฮา
ครับ...แค่ได้ 3 แต้มออกจาก เซลเฮิร์ต พาร์ค ก็ว่ายากแล้วแต่การยิงถึง 7 ลูกแถมไม่เสียประตูสร้างความได้เปรียบให้ “หงส์แดง” ทั้งในแง่ของประตูได้เสียที่ตอนนี้ฟาดไป 17 และยิงรวม 36 มากสุดในลีกแล้ว
เป็นการปลดล็อกชัยชนะนอกบ้านครั้งแรกนับตั้งแต่บุกชนะ เชลซี 2-0 เมื่อวันที่ 20 กันยายน นับแล้วก็ 3 เดือนเต็มๆ!!
มาถึงตรงนี้แล้ว “หงส์แดง” ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อและคิดว่าทีมอื่นอาจทำไม่ได้หากมาเจอปัญหาที่ JK เจอมาตลอดในฤดูกาลนี้
ชัยชนะเวอร์วัง 7-0 ทำให้ประตูได้เสียที่เคยเสียเปรียบทีมอื่นตอนนี้กลับมาเข้าที่เข้าทางสมดุลกับตำแหน่ง “จ่าฝูง” คือ +17 ซึ่งมากที่สุดในลีกรวมถึงยิงประตูได้มากที่สุดเป็น 36 ลูก
ความท้าทายก่อน say hello ปี 2021 คือ 2 เกมสุดท้ายพบ เวสต์บรอม (เหย้า) และ นิวคาสเซิ่ล (เยือน) ซึ่งจะเป็นเกมสุดสัปดาห์และกลางสัปดาห์อีกรอบ
แต่อีกกว่า 5 เดือนที่เหลือผมก็ยังไม่คิดว่า ลิเวอร์พูล จะทนแรงเสียดทานไปตลอดรอดฝั่งกับการมีเซนเตอร์ซีเนียร์ 2 คนแถม มาติ๊ป คงเล่นทุกๆนัดแบบนี้ไม่ไหวแน่นอน
ครั้นจะให้น้อง รีส วิลเลี่ยมส์ ยืนระยะเล่นดีเหมือนตอนเจอ สเปอร์ส ผมก็ไม่คิดว่าแท็คติกส์ของทีมอื่นจะเอื้อให้น้องแกทำผลงานได้แบบนั้นอย่างต่อเนื่อง
ช่วงแข้งเจ็บรัวๆแทบทุกนัดแฟนบอลขอแค่ซีซั่นนี้ติด top 4 ก็เอาแล้วแต่พอตอนนี้พรวดนำจ่าฝูงทิ้ง 5 แต้มยังไงตาแว่นและบอร์ดต้องสานภาระกิจนี้ต่อแล้วล่ะครับ
ผมเชื่อว่าฤดูกาลที่บี้กับ แมนฯซิตี้ ช่วงโหดสัสยังยากกว่านี้หลายขุม แล้วนี่ เป๊ป กวาดิโอล่า และลูกทีมชนะหืดจับเกือบทุกนัด
ในขณะที่ทีมอื่นๆยังไม่มีทีมไหนสม่ำเสมอจนให้ความรู้สึกเหนื่อยใจดังนั้นการป้องกันแชมป์ซีซั่นนี้มันคุ้มค่าต่อการลงทุนในเดือนหน้าอย่างที่สุดแล้วครับ...