การถูกปฏิเสธด้วยลูกล้ำหน้า “แขนเสื้อ” ในเกมๆนึงก็ว่าอับโชคแล้วแต่ ลิเวอร์พูล โดนไปถึง 2 และทำให้ตอนนี้เริ่มมีคำถามในโลกโซเชี่ยลว่ามันยุติธรรมกับเกมฟุตบอลแค่ไหน
ในฐานะที่เป็นแฟน “หงส์” มันอาจจะดูเหมือนเด็กงอแงที่ออกมาร้องหลังเสียผลประโยชน์แต่ผมว่าเราไม่ควรลืมว่ามี VAR เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น
ถ้าหากยังตีเส้นโดยใช้แขนเสื้อเป็นจุด mark เราจะสูญเสียประตูสำคัญและเหตุการณ์สำคัญๆของการทำประตูในเกมลูกหนังเยอะกว่านี้แน่ๆครับ
จากนับแค่ไหล่ฤดูกาลที่แล้วเป็นแขนเสื้อในปัจจุบัน ผมดูแล้วมันไม่ค่อยเวิร์คและเมคเซนส์เท่าไหร่
เพราะเราไม่สามารถใช้ส่วนหัวไหล่ลงมาทำประตูได้ (หรือมีก็อาจจะน้อย) และในเคสของ ซาดิโอ มาเน่ ขนาดหยุดภาพลากเส้นแทบดูไม่ออกว่าล้ำตรงไหนด้วยซ้ำ
แขนเสื้อ ขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง สิ่งเหล่านี้เริ่ม “ลักหลับ” ขโมยความสามารถของนักฟุตบอลและยึดประตูสวยๆของหลายทีมเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ผมว่า VAR ควรเข้ามาเคลียร์ในสิ่งที่ผู้ตัดสินดูไม่ทันและความเหลื่อมที่ค่อนข้างชัดเจนมากกว่ารายละเอียดมิลลิเมตรนะครับ
ปฏิกริยาของ คาร์โล่ อันเชล็อตติ ในระหว่างเกมและหลังได้ดูภาพแกจึงโล่งอกเหมือนถูกหวยเต็มๆ
เชสก์ ฟาเบรกัส อดีตนักเตะ อาร์เซนอล และ เชลซี ได้ทวีตสั้นๆในจังหวะของ ซาดิโอ มาเน่ ว่า “ล้ำตรงไหน? เกมฟุตบอลบ้ากันไปใหญ่แล้ว”
ถ้าไม่ปรับรายละเอียดสำคัญตรงนี้ผมเชื่อว่าหลายๆทีมอาจต้องแก้ลำตัวด้วยการบีบแขนเสื้อให้แนบเนื้อมากยิ่งขึ้นแล้วถ้าใส่เสื้อแขนยาวอันนี้จะเอามาตรฐานตรงไหนมาวัด
และประเด็นที่หลายคนอยากถามคือลูกที่ เวอร์กิล ฟาน ไดจค์ ถูกจับล้ำหน้าปรากฏทีมงาน VAR ตีเส้นที่ปลายเท้า(ด้านหน้า) ของผู้เล่น เอฟเวอร์ตัน ไม่ใช่ “ส้นเท้า” ก็ยิ่งทำให้ตอนนี้เราไม่รู้เลยว่าทีมงานใช้กฏช้อไหน จะปลายหรือจะส้นเท้ากันแน่
ทำให้จังหวะนี้เมื่อวัดกันที่ปลายเท้าของแข้งเจ้าถิ่นก็ต้องกลายเป็นลูก offside ไปทันทีส่วนส้นเท้าที่เลยแนวของ VvD ไปก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งพูดยิ่งงง
เหตุการณ์รองจาก VAR ลงมาเป็นการเข้าบอลสุดโหด 2 จังหวะของ เอฟเวอร์ตัน ที่นำมาซึ่ง 1 ใบแดงและรอดตัวจากการล้ำหน้า
ผมเห็นบ่อยครับที่ผู้ตัดสินเป่าฟาว์ลไปแล้วแต่ผู้เล่นยังตามน้ำเสียบแบบน่าเกลียดก็สามารถให้ใบแดงได้ซึ่งถ้ายึดตามนี้ จอร์แดน พิคฟอร์ด ก็ไม่น่ารอดหลังเสียบขาคู่ใส่ เวอร์กิล ฟาน ไดจค์ จนอยู่ในสนามได้แค่ 11 นาที
อย่างไรก็ตามผมกลับมองว่าบังเอิญเกมนี้เป็น ดาร์บี้ แมทช์ การตัดสินจะต่างจากแมทช์ทั่วไป
กานที่ผู้ตัดสินปักธงมาตรฐานว่าการเข้าบอลแบบนี้คือใบเหลืองแล้วจังหวะต่อๆไปคุณต้องตัดสินตามเนื้อผ้า แรงเท่านี้ก็ต้องเหลือมากกว่านี้คือแดงซึ่งดาร์บี้ แมทช์ มันเข้าแรงหนักกันอยู่แล้ว ผู้ตัดสินหลายคนจึงถูกติวเข้มและระวังการแจกใบเหลืองใบแดงเร็วในช่วงต้นเกมอย่างมาก
ดังนั้นสังเกตได้ว่าหลายๆดาร์บี้แมทช์มักจะถูกดัน level การฟาว์ลที่จะให้ใบเหลืองใบแดงสูงกว่าเกมปกติทั่วไป
บังเอิญจังหวะ พิคฟอร์ด ดันเกิดขึ้นต้นเกมถ้าเป็นช่วงท้ายๆเหมือนอย่างที่ ริชาร์ลิซอน เสียบ ธิอาโก้ ผมมั่นใจว่าไม่น่ารอด
ในระหว่างที่ผมปั่นงานอยู่นี่ข่าวหลายๆสำนักที่ไม่ใช่ตัวใหญ่ๆต่างพากันเล่นไปในทำนองเดียวกันว่า VvD ไม่น่ารอดเอ็นไขว้หน้าหรือ ACL ขาดซึ่งหมายถึงอาจปิดเทอมนี้ได้เลยครับ
ระยะเวลาในการฟื้นฟูคือ 7-8 เดือนซึ่งผมในฐานะที่ ACL เคยขาดมาแล้วเป็นอะไรที่โคตรท้อโคตรหงุดหงิดก็ตอนฟื้นฟูสภาพนี่แหละครับ
ถ้าข่าวนี้เป็นจริงเรียกว่าเส้นทางการทป้องกันแชมป์และขออะไรซักแชมป์ในซีซั่นนี้ของ “หงส์แดง” มีปัญหาใหญ่เอามาๆเพราะตอนมี ฟานไดค์จ แนวรับโดยรวมก็รั่วหนักอยู่แล้วตอนนี้เหลือแค่ โจ โกเมซ, โจเอล มาติ๊ป รวมถึง ฟาบินโญ่ ที่ถอยมายืนเซนเตอร์ได้
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขาด VvD ทำให้ “แชมป์เก่า” ขาดตัวสั่งการในแนวรับและสูญเสีย arial challenge หรือลูกกลางอากาศทั้งในแง่ “รุก” และ “รับ” ไปทันที
นี่เรายังไม่นับปัญหาที่จะตามมาในอนาคตกับตัวเลือกที่พร้อมเหลือแค่ 2 เพราะ โจเอล มาติป แกพร้อมเจ็บได้ทุกวันทุกเวลา
สุ่มเสี่ยงมากครับถ้าท้ายที่สุดจะเหลือเซนเตอร์อาชีพคนเดียวใน regular ทีมและอีก 1 ที่ไม่ใช่ตัวอาชีพ
การถูก แอสตัน วิลล่า ยิงไป 7 ประตูเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนและมาบวกกับเกมที่ กูดิสัน พาร์ค ทำให้ตอนนี้ “หงส์แดง” เป็นทีมที่เสียประตูมากที่สุดในลีกไปแล้วเท่ากับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ทีมอันดับ 17 ที่ 13 ประตู
เป็นการบ้านหนักๆที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องแก้ไขโดยที่ไม่สามารถเสริมทัพอะไรได้อีกจนกว่าตลาดจะเปิดในปีหน้าหากสุดท้าย VvD รูดม่านตามข่าวจริงๆ
ถ้าจะกล่าวว่า ลิเวอร์พูล กำลังมีปัญหาในตัวเลือกแนวรับที่เหลือน้อยลงแบบจำยอมทางแฟน เชลซี เองก็ปวดหัวเมื่อเจอกับบาลานซ์ในทีมที่ทำให้เสียไปแล้วหลายแต้มจนตอนนี้ 5 นัดเพิ่งชนะไป 2 ทั้งๆที่ควรขึ้นไปอยู่ 3 อันดับแรกไปแล้วด้วยซ้ำ
ไม่ใช่แค่แฟน “สิงห์บลู” มองเห็น 3 แต้มใสๆหลังออกนำ เซาแธมป์ตัน 2-0 (ในเวลาแค่ 28 นาที)
แม้กระทั่งตอนที่ ไค ฮาแวร์ตซ์ ยิงแซง 3-2 หลัง เช อดัมส์ เพิ่งตีเสมอไปก่อนหน้านั้น 2 นาที
มันให้ความรู้สึกเหมือนทีมของ แฟร็งค์ แลมพาร์ด คือพระเอกยังไงก็ไม่เสียท่าผู้ร้ายในหนังละคร
แต่ เชลซี ณ เวลานี้ทั้งแนวรุกและรับไม่มีความสมดุลกันเลย จนวลีที่ชาวเน็ตล้อกันคือหน้าเวิร์ลดคลาส หลังเวิร์ลดแก้สคือนิยามสภาพของทีมๆนี้ได้ชัดเจนที่สุด
ลองนึกเล่นๆหากตอนนาที 57 ที่นำอยู่ 2-1 เคิร์ท ซูม่า ไม่ส่งคืนหลังพลาดและ เกป้า ไม่วืดตาม ผมเชื่อว่า “สิงห์บลู” น่าจะปิดเกมได้เพราะผมเห็น เซาแธมป์ตัน เองก็ดูตันๆแต่การปล่อยให้คู่ต่อสู้ทำประตูเป็นการสะกิดให้เกิดการสปาร์คจอย มันให้ความรู้สึกว่าคู่แข่งไม่ได้แกร่งเกินกว่าจะยิงประตูได้ (แม้ เชลซี จะแซงขึ้นนำ 3-2 อย่างรวดเร็วก็ตาม)
เป็นอีกครั้งที่ เชลซี เหนือกว่าคู่แข่งแต่ปิดเกมไม่ได้และเสมอ 3-3 เป็นหนที่ 2 หลังเคยเกิดขึ้นในเกมที่พลิกล็อกเสมอกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน น้องใหม่ เมื่อปลายเดือนที่แล้ว
โดยส่วนตัวผมมองว่า แฟร็งค์ แลมพาร์ด มีฝีมือจากการที่เราได้เห็นผลงานจากการคุม ดาร์บี้ เคาน์ตี้ มาแล้ว
แต่ผมไม่แน่ใจว่า “อากู๋” โรมัน อับราโมวิช แกจะอดทนพอกับการให้ “เวลา” ในการสร้างทีมอีกนานแค่ไหนเนื่องจากแกออกแนว “แดกด่วน” โค้ชหลายๆคนในอดีตอยากได้ตัวไหนซื้อให้แต่ผลงานต้องปังทันที
ตอนนี้เพิ่งเตะกันมา 5 นัด อันดับในตารางยังไม่หนีกันเท่าไหร่ (รั้งที่ 6 ตามเอฟเวอร์ตัน 5 แต้ม) แรงกระเพื่อมอาจจะยังไม่ร้อนแรงนักแต่ซักกลางๆปลายๆพฤศจิกายนน่าจะเห็นหน้าเห็นหลัง
คู่สุดท้ายของคืนวันเสาร์ระหว่าง นิวคาสเซิ่ล กับ แมนฯยูไนเต็ด ตอนแรกผมได้กลิ่นแปลกๆคิดว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา น่าจะอยู่ไม่ยืด บทคนจะขาลงหยิบจับอะไรก็ฉิบหายหมด
เสียประตูจากลูกแฉลบตั้งแต่นาทีที่ 2 เรียกว่า “สาลิกา” โดนบอลกันยังไม่ครบคนได้บุกและยิงหนแรกก็นำเลย
เหตุการณ์ต่อๆมามันไม่ได้ช่วยให้อาการของ ยูไนเต็ด ดีขึ้นเลยไม่ว่าลูกยิงของ บรูโน่ ถูกจับล้ำหน้า (ฆวน มาต้า) และแข้ง โปรตุกีส คนเดิมมาพลาดจุโทษขึ้นนำที่จะทำให้โมเมนตั้มของเกมเปลี่ยนไป
จากสกอร์เสมอกันอยู่ 1-1 จนถึงนาที 86 ภายในระยะเวลารวมกัน 10 นาที “ปีศาจแดง” กดกระจาย 4-1
จุดเริ่มต้นของภารกิจหักคอ “สาลิกา” ช่วงท้ายเกมอยู่ที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด จอมบ้ายิงที่เลือกทำท่าจะเลี้ยงตัดแต่ป้ายให้ บรูโน่ มาปั่นไซด์ยัดสามเหลี่ยมที่หากมีปุ่มให้เลือกกดในเฟสบุคต้อง “ว้าว” สถานเดียว งดงามเหนือชั้น คลาสสิคจริงๆ
ลูกนี้เหมือนฆ่า นิวคาสเซิ่ล ทั้งเป็นเพราะลูกทีม สตีฟ บรูซ สปีดบอลไม่เร็วพอที่จะเจาะแนวรับ ยูไนเต็ด เรียกว่าทั้งเกมไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแต่ 1-1 มาได้จนเกือบ 90 นาทีก็มหัศจรรย์แล้วครับ
หากไม่ใช่ อัลลัน แซงต์-มักซิแม็ง ที่วันนี้โคตรเอาก็จะไปหวังพึ่งพาตัวอื่นไม่เห็นทางสว่างใดๆเลยครับ
เป็นการเรียกศรัทธา(เล็กๆ) กลับมาหลังนัดที่แล้วแพ้ สเปอร์ส ยับเยิน 6-1 แถมสาวกผีได้เห็น อารอน วาน-บิสซาก้า แบ็คที่รับเป็นอย่างเดียวยิงประตูให้เห็นเป็นบุญตา
แต่ศรัทธาที่แท้จริงกำลังจะถูกท้าทายครั้งใหญ่ครับเพราะหลังเตะ แชมเปี้ยนส์ลีก กับ ตัวพ่ออย่าง เปแอสเช ในช่วงกลางสัปดาห์ก็จะต้องรับศึกหนักเจอกับ เชลซี และคิวที่เรียงหน้ากันเข้ามาเหมือนแกล้งกันเพราะเจอทั้ง อาร์เซนอล และ เอฟเวอร์ตัน
โซลชา และลูกทีมคงต้องพยายามเน้นผลการแข่งขัน(แบบโคตรเน้น)เพื่อผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ก่อนเพราะผมเชื่อว่าความพ่ายแพ้ในนัดใดนัดหนึ่งจะส่งผลในนัดต่อๆไปแน่นอนครับ