ก็เป็นอันว่าเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดรัง แอนฟิลด์ เจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งว่ากันว่าเป็นเหมือนเกมตัดสินแชมป์ในฤดูกาลนี้นั้น จบลงด้วยชัยชนะ 3-1 ของเจ้าถิ่น พร้อมกับทำให้ "หงส์แดง" เก็บเพิ่มเป็น 34 คะแนน จากการลงเล่น 12 นัด
จริงอยู่ว่าตามตารางคะแนนแล้ว เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นอันดับ 2 รวมถึงมีแต้มตามหลัง ลิเวอร์พูล 8 คะแนน ซึ่งถือว่าดีกว่า แมนฯ ซิตี้ ที่ตอนนี้เป็นอันดับ 4 และมีแต้มน้อยกว่าทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ 9 คะแนน แต่หลายคนก็ยังมองว่า "เรือใบสีฟ้า" คือคู่แข่งเบอร์ 1 ในการแย่งแชมป์ลีกของ ลิเวอร์พูล อยู่ดี เพราะทีมของกุนซือ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ดูมีขุมกำลังและศักยภาพดีกว่า เลสเตอร์
ถึงกระนั้น หลายคนก็มองว่ามันแทบจะไม่มีโอกาสแล้วที่ แมนฯ ซิตี้ จะไล่ ลิเวอร์พูล ได้ทัน เพราะช่องว่างมันเยอะเกินไป และต่อให้หลังจากนี้ทีมของ กวาร์ดิโอล่า จะเก็บชัยชนะได้แบบเป็นกอบเป็นกำ แต่อีกฝ่ายก็อาจจะไม่สะดุดเลยเช่นกัน ซึ่งวันนี้เราจะมาลองดูโปรแกรมการแข่งขันที่เหลืออยู่ในปี 2019 ของทั้งสองทีมกัน เพื่อดูว่ามันมีโอกาสที่ช่องว่างจะลดลงมากน้อยแค่ไหน
- ลิเวอร์พูล
จนถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล เจอกับทีมในกลุ่มท็อปซิกซ์ในเกมลีกอย่างน้อย 1 นัดไปหมดแล้ว ซึ่งผลลัพธ์มันก็ถือว่ายอดเยี่ยม เพราะพวกเขาชนะได้ถึง 4 เกม ประกอบด้วยการชนะ อาร์เซน่อล 3-1, ทุบ เชลซี 2-1, เฉือน สเปอร์ส 2-1 และนัดล่าสุดที่คว้าชัยเหนือ แมนฯ ซิตี้ 3-1 มีเพียงเกมกับ แมนเชสเตอรน์ ยูไนเต็ด ที่พวกเขาเก็บ 3 แต้มมาครองไม่ได้ โดยวันนั้นสกอร์เสมอกัน 1-1 และมีส่วนทำให้ "หงส์แดง" อดสร้างสถิติการชนะในลีกติดต่อกันมากที่สุดไปในตัว
นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังเจอกับทีมนอกกลุ่มท็อปซิกซ์ฟอร์มแรงประจำฤดูกาลนี้อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (ปัจจุบันอยู่อันดับ 5) ไปอย่างน้อย 1 นัดแล้วด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเขาเก็บชัยชนะได้ทั้ง 2 นัดดังกล่าว
นั่นทำให้โปรแกรมเกมลีกที่เหลืออยู่เฉพาะในปี 2019 ของ ลิเวอร์พูล ไม่หนักมากนัก ถ้าจะมีเกมไหนที่น่าเป็นห่วงอยู่บ้างก็คงเป็นเกมที่ต้องเปิดบ้านเจอ เอฟเวอร์ตัน วันที่ 4 ธันวาคมนี้, ยกสองกับ เลสเตอร์ ที่จะมาถึงในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ และเกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส วันที่ 29 ธันวาคมนี้ ซึ่งถ้าดูตามศัยภาพในปัจจุบันแล้ว ลิเวอร์พูล ก็น่าจะเก็บชัยชนะได้อยู่ดี
โปรแกรมที่เหลืออยู่ของ ลิเวอร์พูล ในปี 2019
23 พ.ย. - เจอ พาเลซ (เยือน, พรีเมียร์ลีก) *พาเลซ ปัจจุบันอยู่อันดับ 12
27 พ.ย. - เจอ นาโปลี (เหย้า, แชมเปี้ยนส์ ลีก)
30 พ.ย. - เจอ ไบรท์ตันฯ (เหย้า, พรีเมียร์ลีก) *ไบรท์ตันฯ ปัจจุบันอยู่อันดับ 11
4 ธ.ค. - เจอ เอฟเวอร์ตัน (เหย้า, พรีเมียร์ลีก) *เอฟเวอร์ตัน ปัจจุบันอยู่อันดับ 15
7 ธ.ค. - เจอ บอร์นมัธ (เยือน, พรีเมียร์ลีก) *บอร์นมัธ ปัจจุบันอยู่อันดับ 9
10 ธ.ค. - เจอ ซัลซ์บวร์ก (เยือน, แชมเปี้ยนส์ ลีก)
14 ธ.ค. - เจอ วัตฟอร์ด (เหย้า, พรีเมียร์ลีก) *วัตฟอร์ด ปัจจุบันอยู่อันดับ 18
17 ธ.ค. - เจอ แอสตัน วิลล่า (เยือน, คาราบาว คัพ)
18-21 ธ.ค. - เล่นศึกชิงแชมป์สโมสรโลก 2 นัด ที่ประเทศกาตาร์
26 ธ.ค. - เจอ เลสเตอร์ (เยือน, พรีเมียร์ลีก) *เลสเตอร์ ปัจจุบันอยู่อันดับ 2
29 ธ.ค. - เจอ วูล์ฟส์ (เหย้า, พรีเมียร์ลีก) *วูล์ฟส์ ปัจจุบันอยู่อันดับ 8
- แมนฯ ซิตี้
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล เจอกับทีมที่แข็งแกร่งจนดูแล้วพอจะเป็นอุปสรรคในการตัดแต้มของพวกเขาไปอย่างน้อย 1 เกมจนครบแล้วนั้น แมนฯ ซิตี้ กลับยังเหลือโปรแกรมโหดๆ ในลีกภายในปีนี้รออยู่อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเกมกับ เชลซี วันที่ 24 พฤศจิกายนนี้, การทำศึกดาร์บี้แมตช์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วันที่ 7 ธันวาคมนี้, การเยือน อาร์เซน่อล ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้, เกมฉะ เลสเตอร์ วันที่ 21 ธันวาคมนี้ และเกมกับ เชฟฯ ยูไนเต็ด วันที่ 29 ธันวาคมนี้
จริงอยู่ว่าถ้าวัดตามมาตรฐานในช่วงฤดูกาลก่อนๆ ของ แมนฯ ซิตี้ แล้วนั้น พวกเขาน่าจะเก็บ 3 แต้มเต็มในเกมเหล่านั้นได้ไม่ยาก แต่ในฤดูกาลนี้ "เรือใบสีฟ้า" ไม่คงเส้นคงวาเหมือนเก่า เอาแค่ถ้าวัดเฉพาะการเจอกันในกลุ่มท็อปซิกซ์ พวกเขาก็ยังไม่ชนะใครเลยจากการลงเล่น 2 นัด ประกอบด้วยเกมล่าสุดที่แพ้ ลิเวอร์พูล และช่วงต้นซีซั่นที่เสมอ สเปอร์ส 2-2
นอกจากนี้ แมนฯ ซิตี้ ยังมีคิวไปเยือน วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในวันที่ 27 ธันวาคม อีกต่างหาก ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาทัพ "หมาป่า" ก็เพิ่งสร้างความเจ็บแสบให้กับ แมนฯ ซิตี้ ด้วยการบุกไปชนะทีมของ กวาร์ดิโอล่า 2-0 ถึงสนาม เอติฮัด มาแล้ว
โปรแกรมที่เหลืออยู่ของ แมนฯ ซิตี้ ในปี 2019
23 พ.ย. - เจอ เชลซี (เหย้า, พรีเมียร์ลีก) *เชลซี ปัจจุบันอยู่อันดับ 3
26 พ.ย. - เจอ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค (เหย้า, แชมเปี้ยนส์ ลีก)
30 พ.ย. - เจอ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (เยือน, พรีเมียร์ลีก) *นิวคาสเซิ่ล ปัจจุบันอยู่อันดับ 13
3 ธ.ค. - เจอ เบิร์นลี่ย์ (เยือน, พรีเมียร์ลีก) *เบิร์นลี่ย์ ปัจจุบันอยู่อันดับ 10
7 ธ.ค. - เจอ แมนฯ ยูไนเต็ด (เหย้า, พรีเมียร์ลีก) *แมนฯ ยูไนเต็ด ปัจจุบันอยู่อันดับ 7
11 ธ.ค. - เจอ ดินาโม ซาเกร็บ (เยือน, แชมเปี้ยนส์ ลีก)
15 ธ.ค. - เจอ อาร์เซน่อล (เหย้า, พรีเมียร์ลีก) *อาร์เซน่อล ปัจจุบันอยู่อันดับ 6
18 ธ.ค. - เจอ อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด (เยือน, คาราบาว คัพ)
21 ธ.ค. - เจอ เลสเตอร์ (เหย้า, พรีเมียร์ลีก) *เลสเตอร์ ปัจจุบันอยู่อันดับ 2
27 ธ.ค. - เจอ วูล์ฟส์ (เยือน, พรีเมียร์ลีก) *วูล์ฟส์ ปัจจุบันอยู่อันดับ 8
29 ธ.ค. - เจอ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (เหย้า, พรีเมียร์ลีก) *เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ปัจจุบันอยู่อันดับ 5
สรุป : เรียกได้ว่าโปรแกรมในลีกที่เหลืออยู่ในปีนี้ของ แมนฯ ซิตี้ ถือว่าโหดกว่า ลิเวอร์พูล เยอะพอตัว โดยเฉพาะการที่ต้องเจอกับทีมในกลุ่มท็อปซิกซ์อีกถึง 3 นัด ตรงข้ามกับ ลิเวอร์พูล ที่กว่าจะเจอทีมในกลุ่มท็อปซิกซ์อีกรอบก็ต้องรอถึงปี 2020 เลย ซึ่งมันก็ดูมีโอกาสที่ช่องว่างจะเยอะกว่านี้พอถึงปีชวด และอาจจะทำให้ ลิเวอร์พูล เข้าใกล้กับการได้แชมป์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1989-90 มากขึ้นไปอีก